#สปสช
🚨 วิกฤต รพ.พุทธชินราช พิษณุโลก! องค์กรแพทย์ลั่น 'เงินบำรุง' ติดลบหนัก ชี้ สปสช. จ่ายค่ารักษาต่ำกว่าต้นทุน ทำ รพ.ขาดสภาพคล่อง กระทบผู้ป่วย แถมบุคลากรทางการแพทย์พากันลาออกซบเอกชนเพียบ! ปัญหานี้ต้องแก้ด่วน ก่อนระบบสาธารณสุขรัฐจะวิกฤตยิ่งกว่าเดิม.

อ่านต่อ https://th.xee4.com?p=3646
April 22, 2025 at 7:09 AM Everybody can reply
ดราม่าเภสัชสภาตอกกลับแพทย์ที่วิจารณ์เรื่องเภสัชจ่ายยาตามโครงการ สปสช ดุเดือดดี
November 22, 2024 at 3:19 AM Everybody can reply
รีบเช็กรายชื่อได้เลย.. หลัง #คลินิกเอกชน 25 แห่ง ออกจากระบบบัตรทองแล้ว พร้อมข้อมูลที่ควรรู้ ย้ำ! ไม่ต้องย้ายสิทธิ...
.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.dailynews.co.th/news/5166350/
#สปสช #บัตรทอง
#ข่าว #ข่าววันนี้ #เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
October 2, 2025 at 9:06 AM Everybody can reply
คอนเนคชั่นสำคัญไหม ผมหาที่ตรวจโควิดแบบเอาเข้าระบบ เพื่อรับยา + อาหารจาก สปสช ได้ ก็เพราะ Connection ของหัวหน้าที่กรมอ่ะครับ (ตอนนั้นตรวจ ATK เองเขาไม่รับเว้ย ต้องมีผลตรวจจากแพทย์ แต่เมิงเดินไปตรวจที่ รพ. เขาก็ไล่กลับบ้านเว้ย)
July 11, 2024 at 2:14 AM Everybody can reply
เครือข่ายภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง หรือ “ภาคีอาสา” จาก 7 หน่วยงาน “สช.-สสส.-สปสช.-สวรส.-บพท.-พอช.-นิด้า” เตรียมเดินหน้าบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ มุ่งสร้างการมีส่วนร่วม ระดมกลไกทำงาน-ทรัพยากร-ความรู้ จากภาคส่วนต่างๆ มาร่วมออกแบบทิศทาง-แผนการพัฒนาใน 5 พื้นที่จังหวัดนำร่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต แก้ไขปัญหาประชาชน

www.tcijthai.com/news/2025/3/...
ลุยขับเคลื่อนแผนงาน ‘จังหวัดอาสา‘ 7 หน่วยงานใน 5 จังหวัดนำร่องบูรณาการทรัพยากรลดใช้งบฯ ซ้ำซ้อน
เครือข่ายภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง หรือ “ภาคีอาสา” จาก 7 หน่วยงาน “สช.-สสส.-สปสช.-สวรส.-บพท.-พอช.-นิด้า” เต
www.tcijthai.com
March 5, 2025 at 10:17 AM Everybody can reply
สปสช. หนุนผู้ป่วยไตวายเข้าถึงเครื่องล้างไตอัตโนมัติ เพิ่มบริษัทผู้ให้บริการในระบบ
สปสช. หนุนผู้ป่วยไตวายเข้าถึงเครื่องล้างไตอัตโนมัติ เพิ่มบริษัทผู้ให้บริการในระบบ
สปสช. หนุนผู้ป่วยไตวายเข้าถึงเครื่องล้างไตอัตโนมัติ เพิ่มบริษัทผู้ให้บริการในระบบ auser15 Sat, 2025-07-12 - 12:46 สปสช. ลงพื้นที่ติดตามประสิทธิภาพเครื่องล้างไตอัตโนมัติ ย้ำการมีทางเลือกหลากหลายเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย พร้อมเดินหน้าลดต้นทุน เพิ่มงบจัดหาน้ำยาล้างไต หนุนผู้ป่วยเข้าถึงเครื่องล้างไตอัตโนมัติมากขึ้น ด้านผู้ป่วยล้างไต เผย APD ช่วยเพิ่มความสะดวก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วย เลขาธิการ สปสช. และ นพ.ชุติเดช ตาบองครักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช.เขต 4 สระบุรี ลงพื้นที่ย่านพุทธมณฑลสาย 3 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมบ้าน น.ส.พรพรรณ พลอยทับทิม ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่รับการบำบัดทดแทนไตด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติ (APD) สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยมี นพ.สุชาย ศรีทิพยวรรณ แพทย์อายุรศาสตร์โรคไต ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ ได้ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นหนึ่งในผู้ป่วยสิทธิบัตรทองกลุ่มแรกของประเทศไทยที่ได้ใช้เครื่อง APD ที่เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง ซึ่งมีจอแสดงผลเป็นภาษาไทย ที่มีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก และเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ ช่วยให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากเป็นการเยี่ยมชมประสิทธิภาพของเครื่อง APD จากผู้ให้บริการรายใหม่แล้ว ยังสะท้อนจุดยืนของ สปสช. ในการส่งเสริมการแข่งขันด้านราคาน้ำยาล้างไตและการให้บริการ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเข้าถึงการบำบัดทดแทนไตทางหน้าท้องได้มากขึ้น ทั้งในรูปแบบมาตรฐาน (CAPD) และการใช้เครื่องอัตโนมัติ (APD) รศ.ดร.ภญ.ยุพดี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตรวม 87,375 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยฟอกเลือด (HD) 69,940 ราย ล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง (CAPD) 9,756 ราย และล้างไตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) 4,362 ราย ส่วนที่เหลือเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ทั้งนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีนโยบายส่งเสริมให้แพทย์และผู้ป่วยร่วมกันตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยหากเป็นไปได้ ควรเริ่มจากการล้างไตทางช่องท้อง ซึ่งมี 2 รูปแบบ ได้แก่ การล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง (CAPD) ที่ผู้ป่วยทำเองที่บ้าน โดยเปลี่ยนน้ำยาล้างไตทุก 4 ชั่วโมง และการล้างไตทางช่องท้องแบบอัตโนมัติ (APD) ซึ่งใช้เครื่องช่วยในการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาล้างไต โดยทั่วไปจะทำในเวลากลางคืนขณะผู้ป่วยนอนหลับ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในช่วงเช้า ทั้งนี้ ในประเทศไทย เดิมทีมีบริษัทผู้ให้บริการเครื่อง APD อยู่ 2 บริษัท และมีบริษัทที่มาเยี่ยมชมในวันนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นทางเลือกอีก 1 บริษัท ซึ่งการมีทางเลือกที่มากขึ้นจะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย เพราะการให้บริการด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติจำเป็นต้องมีทรัพยากรบางส่วนมาสนับสนุน เช่น มีทีมพยาบาลคอยให้คำแนะนำผู้ป่วย มีทีมช่างเพื่อดูแลเครื่อง และมีแพทย์ที่เข้าใจในระบบการทำงาน ซึ่งคุณภาพของเครื่องแต่ละบริษัทไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่ สปสช. ต้องพิจารณาคือการให้บริการเครื่องอัตโนมัติในปัจจุบันยังมี ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบที่เป็นการล้างไปด้วยหน้าท้องด้วยตัวเอง ทาง นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. จึงมีดำริว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่อง APD ด้วยวิธีการใดบ้าง เช่น ราคาน้ำยาซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลัก หรือการมีเครื่องที่มีระบบสนับสนุนที่สามารถติดตามปริมาณการใช้น้ำยาได้ว่าผู้ป่วยใช้ไปแล้วกี่ถุง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำกับการใช้งบประมาณ ที่ สปสช. ต้องรับผิดชอบ เป็นต้น "วันนี้ต้องบอกว่าการล้างไตโดยใช้เครื่องอัตโนมัติมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าค่าใช้จ่ายการล้างไตทางหน้าท้องที่ คนไข้ล้างไตทางหน้าท้องด้วยตัวเอง ดังนั้นเป็นหน้าที่ของ สปสช. ที่จะต้องดำเนินการเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวโดยยังคงคุณภาพของการรักษาได้ตามวัตถุประสงค์ และทำให้มีการกระจายเครื่องไปให้กับผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว ด้าน นพ.สุชาย กล่าวว่า ในมุมของแพทย์ บางครั้งการล้างไตด้วยตนเองเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การใช้เครื่อง APD เข้ามาช่วยจะทำให้การล้างไตมีประสิทธิภาพและสะอาดมากขึ้น จุดเด่นที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่ต้องล้างเองหรือเปลี่ยนน้ำยาหลายรอบ สำหรับเครื่อง APD ทั้ง 3 ยี่ห้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนตัวมองว่ามีประสิทธิภาพในการล้างไตใกล้เคียงกัน แต่บางยี่ห้ออาจมีฟังก์ชันเสริม เช่น ซอฟต์แวร์ที่สามารถตรวจจับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้ รวมถึงการมีเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความดันติดตั้งไว้ที่บ้าน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยใช้งาน ระบบจะบันทึกข้อมูลเข้าสู่เครื่อง APD โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ เครื่อง APD หลายรุ่นยังสามารถรับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ ทำให้แพทย์เห็นข้อมูลของผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ และสามารถปรับแผนการรักษาได้จากโรงพยาบาลโดยไม่ต้องให้ผู้ป่วยเดินทางมา ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งแก่แพทย์และผู้ป่วย “ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะมีการใช้เครื่องล้างไตอัตโนมัติมากกว่าที่จะให้ผู้ป่วยล้างด้วยตัวเองเนื่องจากมีความสะดวกสบายกว่า ซึ่งผู้ป่วยในประเทศไทยก็ถือว่าโชคดีที่ สปสช. ให้สิทธิประโยชน์นี้สำหรับผู้ป่วยในปัจจุบัน” นพ.สุชาย กล่าว น.ส.พรพรรณ กล่าวว่า ตนต้องทำการบำบัดทดแทนไตมานานประมาณ 5 ปี โดยในปีแรกต้องล้างด้วยตัวเอง ซึ่งต้องบอกว่าเหนื่อยมากเพราะต้องล้างทุกๆ 3-4 ชม. แม้แต่ตอนนอนหลับก็ต้องตื่นขึ้นมาล้างไต จนกระทั่ง 3 ปีก่อนได้เปลี่ยนมาใช้เครื่อง APD ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก มีความสะดวก ไม่ต้องตื่นขึ้นมาล้างไตกลางดึก สามารถออกไปทำกิจกรรมในช่วงกลางวันได้ อีกทั้งสามารถหิ้วเครื่อง APD และน้ำยาเดินทางไปยังต่างจังหวัดได้อีกด้วย “ขอขอบคุณ นพ.สุชาย และ สปสช. ที่เข้ามาดูแลผู้ป่วย ทำให้ได้ใช้เครื่อง APD ทำให้สามารถทำกิจกรรม ต่างๆ ได้สะดวกขึ้น รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าและมีกำลังใจที่จะทำอะไรได้อีกเยอะ” น.ส.พรพรรณ กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * สุขภาพ * ไตวาย * เครื่องล้างไตอัตโนมัติ
dlvr.it
July 12, 2025 at 5:49 AM Everybody can reply
สปสช. ห่วงคนไทยเสี่ยง 'มะเร็งปากมดลูก-พยาธิใบไม้ตับ-เอชไอวี' ชวนใช้ชุดตรวจคัดกรองด้วยตัวเอง
สปสช. ห่วงคนไทยเสี่ยง 'มะเร็งปากมดลูก-พยาธิใบไม้ตับ-เอชไอวี' ชวนใช้ชุดตรวจคัดกรองด้วยตัวเอง
สปสช. ห่วงคนไทยเสี่ยง 'มะเร็งปากมดลูก-พยาธิใบไม้ตับ-เอชไอวี' ชวนใช้ชุดตรวจคัดกรองด้วยตัวเอง auser15 Tue, 2025-09-09 - 15:27 สปสช. ห่วงคนไทยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก -พยาธิใบไม้ตับ - เอชไอวี/เอดส์ ชวนใช้ชุดเก็บสิ่งส่งตรวจ/ชุดตรวจคัดกรองด้วยตัวเอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมเพิ่มความสะดวก เข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการนวัตกรรมในระบบบัตรทอง หรือใช้สิทธิขอรับผ่านแอปเป๋าตัง เลือกรายการ “กระเป๋าสุขภาพ”                    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพ เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) นอกจากบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึงแล้ว ต้องเพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการให้กับประชาชน โดยเฉพาะบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในส่วนของบริการตรวจคัดกรองโรคเพื่อค้นหาความเสี่ยงก่อนที่โรคจะลุกลาม ดังนั้นที่ผ่าน สปสช. ได้มี  ชุดสิทธิประโยชน์ที่อำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองโรคให้กับประชาชนไทยทุกสิทธิ 3 รายการ เริ่มจาก “ชุดเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง” (HPV self-sampling) จากปี 2563 ที่บอร์ด สปสช. มีมติขยาย “บริการตรวจด้วยวิธี เอชพีวี ดีเอ็นเอ” (HPV DNA Test) ที่มีความแม่นยำสูง ตามข้อแนะนำ (Guideline) การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฉบับปรับปรุงเดือนกันยายน 2561 ของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิผลของบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ต่อมาในปี 2566 บอร์ด สปสช. ได้เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ชุดเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงไทยที่มีความรู้สึกเขินอายในการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองฯ มะเร็งปากมดลูกที่หน่วยบริการได้เข้าถึงบริการ นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้หญิงไทยเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพิ่มมากขึ้น สปสช. ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ภาคีเครือข่ายหน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการชุดเก็บสิ่งส่งตรวจทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงที่หน่วยบริการนวัตกรรม ทั้งที่ร้านยาที่มีตราสัญลักษณ์ “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ” และคลินิกเวชกรรม และคลินิกเทคนิคการแพทย์ โดยรับบริการได้ 1 ครั้ง ทุก ๆ 5 ปี โดย เป็นสิทธิประโยชน์สำหรับผู้หญิงไทยอายุ 30–59 ปีทุกคน และหญิงไทย อายุ 15 – 29 ปี กรณีที่มีความเสี่ยงสูง  ทั้งนี้ปีงบประมาณ 2568 มีประชาชนใช้สิทธิรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 1,292,028 คน เป็นผู้ได้รับบริการโดยใช้การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV DNA Test จำนวน 1,130,517 คน และตรวจคัดกรองฯ ด้วยวิธีแปปสเมียร์ (Pap Smear) จำนวน 165,876 คน นอกจากนี้เป็นผู้ได้รับการตรวจด้วยวิธี visual inspection with acetic acid (VIA) จำนวน 25,589 คน   นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ต่อมาเป็น “ชุดตรวจปัสสาวะคัดกรองพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีด้วยตนเอง” (OV-RDT) เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คิดค้นโดยสถาบันมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยบอร์ด สปสช. อนุมัติเป็นสิทธิประโยชน์เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 67 เพื่อให้ประชาชนได้รับการตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม เพียงนำตัวอย่างปัสสาวะหยดลงบนชุดตรวจ รอผล 5–10 นาที ผลจะบ่งบอกได้ว่าในร่างกายมีพยาธิใบไม้ตับอยู่หรือไม่ หากขึ้น 2 ขีด แสดงว่ามีเชื้อพยาธิใบไม้ตับ ต้องทานยาถ่ายเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย แต่หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตัวเหลือง เจ็บท้อง น้ำหนักลด จำเป็นต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดีหรือไม่ และเข้าสู่การรักษาต่อไป ทั้งนี้ ประชาชนไทยทุกสิทธิการรักษา มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และมีประวัติเสี่ยง ดังนี้ มีประวัติการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือเคยกินยาถ่ายพยาธิใบไม้ตับ หรือมีประวัติกินปลาน้ำจืดสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเจ้าหน้าที่จะประเมินความเสี่ยง และใช้สิทธิรับบริการได้ปีละ 1 ครั้ง ที่หน่วยบริการนวัตกรรม ทั้งที่ร้านยาที่มีตราสัญลักษณ์ “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ” คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น และคลินิกเทคนิคการแพทย์ ศักยภาพ Lab Anywhere ทั้งนี้ปีงบประมาณ 2568 มีประชาชนรับชุดตรวจปัสสาวะคัดกรองพยาธิใบไม้ตับฯ แล้วจำนวน 126,304 คน โดยในจำนวนนี้มีผลตรวจพบความเสี่ยงจำนวน 44,635 คน นอกจากนี้ยังมี “ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง” (HIV Self-Screening Test) โดยบอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ปี พ.ศ. 2560–2573” ให้บรรลุเป้าหมาย โดยเพิ่มความสะดวกในการรับบริการตรวจคัดกรองให้กับคนไทยทุกคนทุกสิทธิที่มีความเสี่ยง นอกจากเป็นการดูแลเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นแล้ว ยังนำไปสู่การป้องกันการรับเชื้อเอชไอวี และการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นด้วย ซึ่งในระบบบัตรทองยังมีสิทธิประโยชน์ป้องกันเอชไอวี ทั้งบริการถุงยางอนามัย และบริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทั้งก่อนหรือหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP & PEP : Pre and Post-Exposure prophylaxis) ด้วย สำหรับการตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง มี 2 ชนิด คือ การเก็บตัวอย่างเลือดด้วยการเจาะปลายนิ้ว หรือการเก็บตัวอย่างสารน้ำในช่องปาก นำมาทดสอบบนชุดตรวจและอ่านผลได้ที่ 15-20 นาที ในการอ่านผลหากชุดตรวจแสดงผล 2 ขีด ที่ตัวอักษร C และที่ตัวอักษร T หมายความว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี ควรไปสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยันผลและเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที แต่หากไม่พบการติดเชื้อสามารถตรวจซ้ำได้ที่ 90 วันเป็นต้นไป พร้อมเข้ารับบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีด้านอื่นๆด้วย ประชาชนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี สามารถขอรับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือหน่วยบริการนวัตกรรม ทั้งที่ร้านยาที่มีตราสัญลักษณ์ “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ” และคลินิกเวชกรรม ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 มีประชาชนเข้ารับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเองแล้วจำนวน 1,069,111 คน “บริการทั้ง 3 รายการข้างต้นนี้ เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองเพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการ ดังนั้น สปสช. ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนทุกสิทธิเข้ารับบริการ นอกจากที่หน่วยบริการแล้ว ยังสามารถรับบริการผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ในเมนูสุขภาพได้ ซึ่งจะปรากฏรายการบริการที่ท่านมีสิทธิเข้ารับบริการ จากนั้นให้เลือกหน่วยบริการที่ท่านสะดวก และไปรับชุดตรวจคัดกรองโรคที่หน่วยบริการที่ท่านเลือกไว้ได้ โดยมีขั้นตอนที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ทั้งสะดวกและทราบผลรวดเร็ว” เลขาธิการ สปสช. กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * สุขภาพ
dlvr.it
September 9, 2025 at 8:32 AM Everybody can reply
เปิดรายงาน 'กองทุนบัตรทอง ปี 67' ผลดำเนินงานใช้จ่ายงบประมาณ บนเว็บไซต์ สปสช.
เปิดรายงาน 'กองทุนบัตรทอง ปี 67' ผลดำเนินงานใช้จ่ายงบประมาณ บนเว็บไซต์ สปสช.
เปิดรายงาน 'กองทุนบัตรทอง ปี 67' ผลดำเนินงานใช้จ่ายงบประมาณ บนเว็บไซต์ สปสช. auser15 Sat, 2025-09-27 - 11:11 สปสช. เผยแพร่ “รายงานกองทุนบัตรทอง ปีงบประมาณ 2567” บนเว็บไซต์ www.nhso.go.th เพื่อให้ประชาชน – ผู้ที่สนใจ เข้าดูผลงานตามนโยบายและการบริหารงบบัตรทอง รวมถึงการขับเคลื่อน – ผลลัพธ์ของ “30 บาทรักษาทุกที่” ช่วงนำร่อง 46 จังหวัด ตลอดจน “สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม” 27 กันยายน 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวว่า ขณะนี้ สปสช. ได้มีการจัดทำรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ยังได้มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.nhso.go.th ของ สปสช. (คลิ๊ก https://shorturl.asia/XcDgB) เพื่อให้ประชาชน หรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูผลงานตามนโยบายและการบริหารจัดการงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาล ทั้งนี้ ในรายงานจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานบริหารจัดการกองทุนบัตรทอง เช่น ปีงบประมาณ 2567 สปสช. ได้รับจัดสรรงบประมาณกองทุนบัตรทอง 217,628.96 ล้านบาท (รวมเงินเดือนบุคลากรหน่วยบริการ) และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล 30 บาทรักษาทุกที่ จำนวน 5,924.41 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 223,553.37 ล้านบาท จากงบประมาณในส่วนแรกนั้น คิดเป็นงบเหมาจ่ายรายหัว อัตรา เฉลี่ยจำนวน 3,472 บาท ต่อผู้มีสิทธิบัตรทอง จำนวน 47.67 ล้านคน จากผู้มีสิทธิบัตรทอง 47 ล้านคนนั้น ได้ลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจำ 46.9 ล้านคน ความครอบคลุมสิทธิบัตรทอง ร้อยละ 99.64  รวมถึงด้านการนำงบประมาณมาดูแลประชาชนให้เข้าถึงบริการ เช่น ในปีงบประมาณ 2567 มีจำนวนผู้มารับบริการผู้ป่วยนอก (OP) 176.535 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตรา 3.754 ครั้งต่อคนต่อปี บริการผู้ป่วยใน (IP) 6.918 ล้านครั้ง หรือ คิดเป็นอัตรา 0.147 ครั้งต่อคนต่อปี บริการผู้ป่วยนอกแบบปฐมภูมิไปที่ไหนก็ได้ 10.39 ล้านครั้ง มะเร็งรับบริการที่ไหนก็ได้ 2.44 ล้านครั้ง ผ่าตัดต้อกระจก 195,391 ครั้ง หรืออย่างบริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง มีผู้รับบริการ 113,274 คน ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า นอกจากผลการดำเนินงานดังกล่าวแล้ว ยังมีการนำเสนอผลงานเด่น ๆ ด้วย เช่น การขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ซึ่งในปีงบประมาณ 2567 ที่มีการนำร่องนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ใน 46 จังหวัด ได้มีประชาชนเข้าถึงบริการตามนโยบายทั้งหมด 3.89 ล้านคน 9.1 ล้านครั้ง ในหน่วยบริการ 9,180 แห่ง อีกทั้งภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพของหน่วยบริการทุกแห่งกับระบบเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการของ สปสช. ผ่านระบบ API เพื่อลดภาระในการบันทึกและส่งข้อมูลของหน่วยบริการ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ 1 โรงพยาบาลของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ส่งข้อมูลผ่านระบบ Financial Data Hub (FDH) กลุ่มที่ 2 โรงพยาบาลรัฐนอกสังกัด สธ. ส่งข้อมูลผ่านระบบ API สปสช. และกลุ่มที่ 3 หน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภท ส่งข้อมูลผ่าน AnyPlatform เช่น เป๋าตัง, Dent Cloud หรือ A-MED นอกจากนี้ จะมีในส่วนของการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง ประจำปีงบประมาณ 2567 เช่น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery) แผ่นปิดกะโหลกศีรษะไทเทเนียมในผู้ป่วยผ่าตัดสมอง คัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมนโมแกรมและอัลตราซาวนด์ คัดกรองโรคพยาธิใบ้ไม้ตับด้วยตนเอง ฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตอนรักษาผู้ป่วยมะเร็ง วางแร่เฉพาะที่เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในตาและมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งที่ตา การตรวจวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับและรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก บริการสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ฯลฯ โฆษก สปสช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการนำเสนอข้อมูลสำคัญอย่างการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การอภิบาลระบบบัตรทอง ปัญหาอุปสรรค และความท้าทายในการขับเคลื่อนระบบบัตรทองปีงบประมาณ 2567 ไปจนถึงแนวทางแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาขับเคลื่อนการดำเนินงานในปี 2568 และระยะต่อไป “ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่ง สปสช. ได้มีการดำเนินการภายใต้การกำกับของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด) โดยยังมีข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกอีกหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาดูได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. เลือกที่เมนูเกี่ยวกับองค์กร จากนั้นเลือกไปที่รายงานประจำปี” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * กองทุนบัตรทอง * สปสช. * สุขภาพ
dlvr.it
September 27, 2025 at 4:13 AM Everybody can reply
สปสช. ชี้แจงวิธีการตรวจสอบรายงานการเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าบริการของแต่ละโรงพยาบาลผ่านเว็บไซต์ สปสช. โดยระบบจะแสดงบทสรุปผู้บริหารและรายละเอียดเชิงลึกของรายการโอนเงินทั้งหมด

www.tcijthai.com/news/2025/5/...
จับตา: วิธีตรวจสอบการโอนเงินชดเชยค่าบริการให้โรงพยาบาลต้องทำอย่างไร?
สปสช. ชี้แจงวิธีการตรวจสอบรายงานการเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าบริการของแต่ละโรงพยาบาลผ่านเว็บไซต์ สปสช. โดยระบ
www.tcijthai.com
May 3, 2025 at 9:08 AM Everybody can reply
สบส. กรมอนามัย สปสช. จับมือขับเคลื่อน ยกระดับ อสม.ยุคใหม่ ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
สบส. กรมอนามัย สปสช. จับมือขับเคลื่อน ยกระดับ อสม.ยุคใหม่ ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
สบส. กรมอนามัย สปสช. จับมือขับเคลื่อน ยกระดับ อสม.ยุคใหม่ ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน auser15 Sat, 2025-10-18 - 13:40 สบส. กรมอนามัย สปสช. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ยกระดับ อสม.ยุคใหม่” จากผู้สื่อสารสุขภาพสู่ “ผู้ช่วยดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน” เพิ่มการเข้าถึงการดูแลทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะพึ่งพิง เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี หนุนสร้างสุขภาพชุมชนยั่งยืน ในการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ปีงบประมาณ 2569 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ได้มีพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ "ยกระดับ อสม. ยุคใหม่ สู่ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง เพื่อสุขภาพชุมชนที่มั่นคงและยั่งยืน" ระหว่างกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมอนามัย และ สปสช. โดยมี นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย เป็นผู้แทนหน่วยงานร่วมลงนาม นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของ อสม. ในการดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง การลงนามครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน “อสม.ยุคใหม่” ให้ก้าวสู่บทบาทผู้ช่วยสาธารณสุขในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง เพื่อสร้างระบบสวัสดิการสุขภาพที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมขอบคุณกรมอนามัยและ สปสช. ที่ร่วมกันผลักดันภารกิจสำคัญนี้ ด้าน พญ.นงนุช กล่าวว่า กรมอนามัยยินดีที่จะสนับสนุนในเชิงวิชาการและร่วมพัฒนาศักยภาพของ อสม. ให้มีความรู้และทักษะในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน รวมถึงการแลกเปลี่ยนระบบข้อมูลร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงการดูแลระยะยาวอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ขณะที่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงให้ได้รับการดูแล “ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” ด้วยการเปลี่ยนบทบาทของ อสม. จากผู้สื่อสารสุขภาพ ไปสู่การเป็นผู้ช่วยสาธารณสุขที่ร่วมดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน เพื่อให้ทุกคนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “อสม. ถือเป็นกำลังสำคัญในการดูแลระยะยาวของผู้มีภาวะพึ่งพิง ขอชื่นชม อสม. ทุกท่านที่เป็นหัวใจของระบบสุขภาพชุมชน และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นนิมิตหมายใหม่ในการขับเคลื่อนบทบาทของ อสม. ให้ชัดเจนและเข้มแข็งยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สปสช. กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * อสม. * ผู้มีภาวะพึ่งพิง * สปสช.
dlvr.it
October 18, 2025 at 6:44 AM Everybody can reply
แต่พ้อยหลักคือ
1. สปสช ไม่จ่ายเงินให้รพ. ในส่วนสิทธิการรักษา30บาท
2. คนคิดหาทางหารายได้เพิ่ม เนื่องจาก สปสช ไม่จ่าย การเงิน รพ ติดลบ
3. หรือต่อให้จ่าย แต่อาจจะไม่พอสำหรับ รพ เลยต้องคิดหาทางหารายได้เพิ่ม ซึ่งถกกันได้นะ
January 1, 2025 at 4:52 PM Everybody can reply
📌 #สปสช. ชี้แจงชัด! ทำไมหาหมอออนไลน์ #โควิด19 ไม่ได้ยาต้านไวรัสทุกราย?

➡️ รองเลขาธิการ สปสช. เผย ยึดแนวทาง #กรมการแพทย์ การรักษาโควิดผ่านแอปฯ ขึ้นอยู่กับอาการ ไม่ใช่อาการหนักไม่ให้ยา
➡️ ผู้ป่วยไม่มีอาการ/อาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่หายเอง ไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส
➡️ มั่นใจได้ แพทย์ดูแลตามมาตรฐาน…

อ่านต่อ https://th.xee4.com?p=8044
May 15, 2025 at 12:31 PM Everybody can reply
สปสช. ยันจ่ายครบแน่ เงินงวดสุดท้าย รพ.ไม่กระทบคุณภาพรักษา ย้ำไม่มีโบนัสมาตั้งแต่ปี 58
สปสช. ยันจ่ายครบแน่ เงินงวดสุดท้าย รพ.ไม่กระทบคุณภาพรักษา ย้ำไม่มีโบนัสมาตั้งแต่ปี 58
สปสช. ยันจ่ายครบแน่ เงินงวดสุดท้าย รพ.ไม่กระทบคุณภาพรักษา ย้ำไม่มีโบนัสมาตั้งแต่ปี 58 auser15 Sat, 2025-10-11 - 08:23 สปสช. ย้ำไม่ได้เบี้ยวจ่ายเงินค่ารักษาแก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ และการมีภาระค้างจ่ายไม่กระทบกับคุณภาพการรักษาพยาบาลของประชาชน ชี้จ่ายเงินโรงพยาบาลต่างๆ เกือบหมดแล้ว เหลือแค่งวดสุดท้ายของปีงบ 2568 และกำลังจะของบกลางมาจ่ายให้สัปดาห์หน้า พร้อมย้ำ สปสช. ไม่มีโบนัสมาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว 11 ตุลาคม 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสโจมตี สปสช. ว่าเบี้ยวหนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศและกระทบกับคุณภาพการรักษพยาบาลนั้น ขอยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการจับแพะชนแกะ การมีภาระค้างจ่ายต่อโรงพยาบาล ไม่กระทบกับการให้บริการแก่ประชาชนแต่อย่างใดเพราะการดูแลรักษาต่างๆ มีมาตรฐานวิชาชีพกำกับ และมีกระบวนการติดตามควบคุมให้การดูแลรักษามีคุณภาพมาตรฐานตามที่แต่ละวิชาชีพกำหนดไว้ นอกจากนี้ สปสช. ก็ไม่ได้เบี้ยวหนี้โรงพยาบาลแต่อย่างใด สปสช. ได้จ่ายเงินชดเชยค่าบริการแก่โรงพยาบาลสำหรับปีงบประมาณ 2568 ไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงงวดสุดท้ายระหว่างวันที่ 16-30 กันยายน 2568 ที่ยังเป็นภาระค้างจ่าย เนื่องจากในปีนี้มีปริมาณการเข้ารับบริการมากเกินกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ต้องใช้งบประมาณสูงกว่าที่ สปสช. ได้รับจัดสรรมา ซึ่งมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ได้เสนอของบกลางจำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท เพื่อมาจ่ายให้แก่โรงพยาบาลสำหรับงวดสุดท้ายแล้ว โดยจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ดังนั้น โรงพยาบาลจะได้รับเงินที่ค้างจ่ายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กระแสโจมตียังระบุว่า สปสช. ไม่มีเงินจ่ายให้โรงพยาบาลแต่กลับมีเงินมาจ่ายโบนัสให้บุคลากรของ สปสช.เอง เป็นเรื่องโกหก เพราะไม่ได้จ่ายเงินโบนัสแก่บุคลากรมาเป็นสิบปี ตั้งแต่ปี 2558 มาจนถึงปัจจุบัน และไม่ควรจับแพะชนแกะ เอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาผสมรวมกัน * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * สปสช.
dlvr.it
October 11, 2025 at 1:28 AM Everybody can reply
สปสช. สรุปผลความคิดเห็น (ร่าง) บริหารงบบัตรทอง ปี 69 เตรียมเสนอ ‘บอร์ดสปสช.’ พิจารณา 4 ส.ค.นี้
สปสช. สรุปผลความคิดเห็น (ร่าง) บริหารงบบัตรทอง ปี 69 เตรียมเสนอ ‘บอร์ดสปสช.’ พิจารณา 4 ส.ค.นี้
สปสช. สรุปผลความคิดเห็น (ร่าง) บริหารงบบัตรทอง ปี 69 เตรียมเสนอ ‘บอร์ดสปสช.’ พิจารณา 4 ส.ค.นี้ auser15 Sat, 2025-07-26 - 09:15 สปสช. เตรียมสรุปผลเวทีรับฟังความคิดเห็น “(ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” หลังแจงรายละเอียดสิทธิประโยชน์ใหม่ปีหน้า พร้อมงบประมาณบริหารจัดการ และรับฟังข้อเสนอจากผู้ให้บริการ-หน่วยบริการเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนส่งต่อบอร์ด สปสช. ประชุมพิจารณา 4 ส.ค.นี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดเวที “การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ในฐานะผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เข้าร่วมให้ความคิดเห็น เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นว่า ในปีงบประมาณ 2569 สปสช. ได้เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม และการรับฟังความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกมิติ ดังนั้น หลังจากการได้ดำเนินการจนมี (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ มาแล้ว จึงขอเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกระยะหนึ่งเพื่อให้เกิดการรับฟังที่รอบด้าน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและทำให้ระบบบัตรทองมีความยั่งยืน และเพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนและสิทธิประโยชน์ในระบบฯ ของปี 2569 ดำเนินการได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ นางกาญจนา ศรีชมภู ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ชี้แจงร่างประกาศบริหารกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2569 ในส่วนของสิทธิประโยชน์ใหม่และความเปลี่ยนแปลง ว่า งบกองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2569 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรัฐสภา โดยคาดว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณเบื้องต้น 265,295 ล้านบาท เมื่อหักเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ 71,446 ล้านบาท จะเหลืองบประมาณเพื่อบริหารกองทุนบัตรทอง 30 บาท ที่จะให้ สปสช.บริหารจัดการทั้งในส่วนงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว และงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัวราว 193,849 ล้านบาท ในส่วนสิทธิประโยชน์ใหม่ในปีงบประมาณ 2569 มีทั้งหมด 10 รายการ แบ่งเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (P&P) 8 รายการ ประกอบด้วย สายด่วนเลิกเหล้า, สายด่วนท้องไม่พร้อม, ธนาคารนมแม่, วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็ก (PCV), วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี, ชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไต และการคัดกรองภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานทางปัสสาวะ, การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน และการตรวจคัดกรองออทิสติกด้วยเครื่องมือ TDAS ขณะที่สิทธิประโยชน์อีก 2 รายการ อยู่ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 1 รายการ คือ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ให้เข้าสู่ระยะสงบ และอยู่ในกลุ่มกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กปท.) อีก 1 รายการ คือ บริการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในชุมชน รวมงบประมาณสิทธิประโยชน์ใหม่ปี 2569 เป็นจำนวน 876.54 ล้านบาท ส่วนที่ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในปีงบประมาณ 2569 นั้น สปสช. จะกำกับติดตามผลการให้บริการสาธารณสุขที่เกิดขึ้น โดยเทียบกับผลคาดการณ์บริการที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 และตรวจสอบการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการบริการ โดยนำผลการตรวจสอบเอกสารการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IP) ทั่วไปที่สุ่มตรวจโดยไม่มีเงื่อนไขของหน่วยบริการระดับเขตมาประกอบการพิจารณาปรับค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ (SUM AdjRW) ให้ถูกต้อง และใช้คำนวณย้อนกลับในภาพรวมทั้งหมดของการให้บริการ ซึ่ง สปสช.ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2568 และในปี 2569 ก็จะดำเนินการต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการปรับอัตราจ่ายสำหรับผู้ป่วยนอกทุกที่ (OP Anywhere) จากอัตราจ่ายแบบตามรายการ (Fee schedule) เป็นอัตราจ่ายแบบรายครั้งบริการ (per visit) รวมถึงเพิ่มอัตราจ่ายค่ายานพาหนะสำหรับรับ-ส่งผู้ป่วยด้วย อีกทั้งยังเพิ่มขอบเขตการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ โดยเน้นกลุ่มเยาวชน จากเดิมมุ่งเน้นกลุ่มเสี่ยงสูง ขณะที่สิทธิประโยชน์ไตวายเรื้อรัง ได้ปรับรูปแบบการจ่ายเป็นงบประมาณปลายปิด และบริการควบคุมโรคเรื้อรัง มีการปรับอัตราจ่ายตามผลลัพธ์ ในกรณีที่ผู้ป่วยเบาหวานเข้าสู่ระยะสงบของโรคได้ สำหรับในส่วนหน่วยบริการนวัตกรรม 7 หน่วยบริการในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งได้รับจัดสรรวงเงิน 3,770 ล้านบาทโดยประมาณ สปสช. จะบริหารจัดการเป็นงบประมาณปลายปิดเพื่อไม่ให้งบประมาณบานปลาย พร้อมกับได้ปรับลดจำนวนครั้งเข้ารับบริการ และปรับอัตราจ่ายชดเชย-รายการบริการให้เหมาะสม ด้าน ดร.นันทวัน เกษธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายแผนและงบประมาณ สปสช. กล่าวสรุปข้อเสนอจากการรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) โดยพบว่า ในประเด็นการให้บริการทางการแพทย์ในงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว มีความเห็นระบุว่ายังไม่สะท้อนต้นทุนการบริการที่แท้จริง รวมถึงขอให้จ่ายชดเชยค่าอุปกรณ์-อวัยวะเทียมตามราคาจริง และมีข้อเสนอ อาทิ ให้มีการจัดสรรเงินเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แทนโรงพยาบาลแม่ข่าย ขณะที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีข้อเสนอควรแยกกองทุนส่งต่อผู้ป่วยนอก ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นต้น “ขณะที่ในส่วนบริการปฐมภูมิและบริการจากหน่วยบริการนวัตกรรม มีข้อเสนอควรปรับอัตราจ่ายชดเชยค่าบริการ และไม่ควรเหมาจ่ายในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ และเห็นด้วยที่จะให้มีบริการจากหน่วยบริการนวัตกรรม หรือคลินิกชุมชนอบอุ่นต่างๆ ในระบบสาธารณสุขแบบนี้ต่อไป เพราะชุมชนได้ประโยชน์ในการเข้าถึงบริการ” ผู้อำนวยการฝ่ายแผนและงบประมาณ สปสช. กล่าว ต่อมาในส่วนเวทีอภิปราย และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการ รวมถึงเครือข่ายวิชาชีพต่างๆ โดยความเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ในส่วนผู้ให้บริการทั้งจากภาครัฐและเอกชน ระบุในภาพรวมว่า อยากให้ สปสช. ทำหน้าที่บริหารจัดการในการจ่ายชดเชยค่าบริการให้กับประชาชนสิทธิบัตรทองอย่างแท้จริง ขอให้ลดการขอข้อมูลการให้บริการที่เกินกว่าความจำเป็น มีระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการที่เป็นธรรม รวดเร็ว และไม่ควรปรับลดการเบิกจ่ายชดเชยโดยเหตุผลไม่เหมาะสม รวมไปถึงอยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีการเข้าถึงบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับผ่านการใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ และเทคโนโลยี มาผลักดันนโยบายต่างๆ ที่มีผลต่อสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อให้มีความยั่งยืนผ่านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ในส่วนข้อเสนอแนะ และข้อสังเกต ระบุว่า ในการพิจารณาจัดทำข้อเสนอขอรับงบประมาณของ สปสช. อยากให้พิจารณาในเรื่องยา และเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ ที่จะมีการนำมาบริการในระบบสาธารณสุข เพื่อให้สอดรับการจัดทำงบประมาณ ทั้งนี้ ในส่วนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตต่างๆ จากผู้ให้บริการ และผู้เกี่ยวข้องต่อ (ร่าง) ประกาศการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ สปสช. จะรวบรวมก่อนสรุปเพื่อส่งต่อให้กับที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ในการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 8/2568 ในวันที่ 4 ส.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อให้พิจารณาและมีมติเพื่อดำเนินต่อไป * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * สุขภาพ
dlvr.it
July 26, 2025 at 2:18 AM Everybody can reply
สปสช. ย้ำ 'ฉีดวัคซีนตับอักเสบบี' บัตรทองครอบคลุมเฉพาะ 'เด็กแรกเกิด'
สปสช. ย้ำ 'ฉีดวัคซีนตับอักเสบบี' บัตรทองครอบคลุมเฉพาะ 'เด็กแรกเกิด'
สปสช. ย้ำ 'ฉีดวัคซีนตับอักเสบบี' บัตรทองครอบคลุมเฉพาะ 'เด็กแรกเกิด' auser15 Sun, 2025-08-17 - 09:02 สปสช. ย้ำ “บริการฉีดวัคซีนตับอักเสบ บี” บัตรทอง ครอบคลุมดูแลเฉพาะ “เด็กแรกเกิด” ชุดสิทธิประโยชน์วัคซีนพื้นฐาน ไม่ได้ฉีดให้กับประชาชนทั่วไป ต้องรอผลการศึกษาประสิทธิผลและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ก่อน ส่วนประชาชนที่เกิดก่อน ปี 2535 มีสิทธิตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ บี ไม่เสียค่าใช่จ่าย 17 สิงหาคม 2568 ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูล โดยระบุประชาชนไทยสามารถเข้ารับบริการ “ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ฟรี” ภายในปี 2568 ทาง สปสช. ขอชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบี แม้ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) แต่กำหนดให้บริการเฉพาะกลุ่มเด็กแรกเกิดที่เป็นเป้าหมายเท่านั้น โดยรวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์วัคซีนพื้นฐานให้กับเด็กไทยทุกคน สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีสำหรับประชาชนกลุ่มอื่นนอกเหนือจากเด็กแรกเกิดนั้น ยังคงต้องรอข้อมูลทางวิชาการที่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลของวัคซีนและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ที่มากเพียงพอก่อนที่จะพิจารณา บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่อไป ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี สปสช. มีสิทธิประโยชน์บริการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ด้วย HBsAg ซึ่งให้บริการกับประชาชนทุกคนที่เกิดก่อน พ.ศ. 2535 รวมถึงบริการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ซี ด้วย Anti-HCV จำนวน 1 ครั้งตลอดช่วงชีวิต ทั้งนี้จะยกเว้นกลุ่มเสี่ยง 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีด ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย บุคลากรสาธารณสุข และผู้ต้องขัง ซึ่งจะได้รับสิทธิตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ซี ซ้ำทุก 1 ปี ซึ่งเป็นบริการที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งหากพบการติดเชื้อจะได้เข้าสู่การรักษาตามสิทธิสุขภาพของแต่ละบุคคลต่อไป   “ขอย้ำว่า บริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ขณะนี้สิทธิบัตรทองกำหนดให้ฉีดในกลุ่มเด็กแรกเกิดเท่านั้น โดยยังไม่ครอบคลุมให้บริการประชาชนไทยทุกกลุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสับสน และไปรับบริการฉีดที่หน่วยบริการ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้” ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * สปสช. * วัคซีนตับอักเสบบี
dlvr.it
August 17, 2025 at 2:06 AM Everybody can reply
เรื่องเศร้าในระบบ 'บัตรทอง'! ผู้ป่วยวัย 28 ปี เสียชีวิต คาดสาเหตุจากความล่าช้าในการขอ 'ใบส่งตัว' ทำให้เข้ารับการรักษาต่อไม่ทัน

สปสช. ไม่นิ่งนอนใจ! สั่งทีมลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกและโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องทันที พร้อมเร่งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตตามมาตรา 41…

อ่านต่อ https://th.xee4.com?p=5830
May 1, 2025 at 12:00 PM Everybody can reply
สปสช. กางผลสำเร็จเชื่อม API รพ. ระบบบัตรทอง ลดภาระงานบันทึกข้อมูล เพิ่มความแม่นยำข้อมูลเบิกจ่าย
สปสช. กางผลสำเร็จเชื่อม API รพ. ระบบบัตรทอง ลดภาระงานบันทึกข้อมูล เพิ่มความแม่นยำข้อมูลเบิกจ่าย
สปสช. กางผลสำเร็จเชื่อม API รพ. ระบบบัตรทอง ลดภาระงานบันทึกข้อมูล เพิ่มความแม่นยำข้อมูลเบิกจ่าย auser15 Sun, 2025-07-20 - 11:27 สปสช. เผยความสำเร็จเชื่อมต่อ API หน่วยบริการบัตรทอง รับส่งข้อมูลบริการสุขภาพ ช่วยลดภาระงานบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อนของบุคลากรทางการแพทย์ที่ เพิ่มความถูกต้องแม่นยำการส่งเบิกค่าใช้จ่ายบริการ ลดปัญหาติด C ค้างเบิกจ่าย ข้อมูลถูกตีกลับ 20 กรกฎาคม 2568 นายประเทือง เผ่าดิษฐ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สปสช. ได้พัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Application Programming Interface หรือ API ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมของหน่วยบริการ (โรงพยาบาล) กับโปรแกรมของ สปสช. ทำให้ซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยทลายข้อจำกัดและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในการดำเนินธุรกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้อย่างมหาศาล โดย API ที่ สปสช. เปิดให้บริการหลักๆ มี 2 หมวดหมู่ คือ 1. API สำหรับตรวจสอบสิทธิและยืนยันตัวตน (Authentication) ซึ่งในอดีต เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องเปิดโปรแกรมของโรงพยาบาล (HIS) ควบคู่ไปกับเว็บไซต์ของ สปสช. เพื่อคัดลอกข้อมูลสิทธิและรหัสยืนยันตัวตน (Authen) มาบันทึกในระบบ แต่เมื่อมีการเชื่อมต่อ API โปรแกรม HIS จะดึงข้อมูลเหล่านี้จาก สปสช. มาโดยอัตโนมัติ เพียงแค่เจ้าหน้าที่บันทึกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเสียบบัตรประชาชนเท่านั้น ทำให้ลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อนในการทำงานลงได้ 2. API สำหรับส่งข้อมูลการเบิกจ่าย จากเดิมที่โรงพยาบาลต้องนำข้อมูลการรักษาพยาบาลมาบันทึกใหม่ในโปรแกรม e-Claim เพื่อส่งเบิกกับ สปสช. ได้มีการพัฒนา API ให้โรงพยาบาลสามารถส่งข้อมูลการเบิกจ่ายตามชุดข้อมูลมาตรฐาน (16 แฟ้ม หรือ 13 แฟ้ม) จากระบบ HIS ของตนเองมายัง สปสช. ได้โดยตรง และเมื่อ สปสช. ประมวลผลเสร็จ ก็จะตอบกลับสถานะการเบิกจ่ายผ่าน API เช่นกัน ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า การเชื่อม API ข้างต้นนี้ ได้ช่วยลดภาระงานของโรงพยาบาล และเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลได้มากกว่าการใช้บุคลากรในการบันทึก ตัวอย่างเช่น รหัสยืนยันตัวตน (Authen) ที่มีความยาวและซับซ้อน หากพิมพ์ผิดไปเพียงหลักเดียวก็จะส่งข้อมูลเบิกไม่ผ่าน แต่เมื่อใช้ API ดึงข้อมูลโดยตรง ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป โอกาสที่การส่งเบิกจ่ายชดเชยและติด C ก็จะลดลง ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในระบบบัตรทองกว่า 90% ที่เชื่อมต่อ API กับ สปสช. แล้ว โดยโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้เชื่อมต่อครบ 100% ซึ่งช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ที่เคยต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อคีย์ข้อมูลได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ เพื่อรองรับการส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ สปสช. ได้ย้ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ไปอยู่บนระบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายและลดขนาดของช่องทางรับส่งข้อมูลได้ตามปริมาณการใช้งานจริง ส่งผลให้เสียงสะท้อนเรื่องระบบล่มค่อยๆ หายไปเช่นกัน นายประเทือง กล่าวต่อว่า เพื่อลดภาระงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ขอเสนอแนะให้โรงพยาบาลส่งเสริมบริการในขั้นตอนต่างๆ ที่ให้ประชาชนทำได้ด้วยตนเอง (Self-service) มากขึ้น เช่น การติดตั้งตู้คีออสสำหรับเสียบบัตรประชาชนเพื่อตรวจสอบสิทธิและรับคิวได้ทันที หรือการนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Face Recognition System) มาใช้ในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการเชื่อมต่อ API กับ สปสช. เช่นกัน เพื่อให้กระบวนการทำงานราบรื่น นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่มารับบริการด้วย เพราะช่วยลดระยะเวลารอคอยรับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * สุขภาพ
dlvr.it
July 20, 2025 at 4:37 AM Everybody can reply
สปสช. เล็งจัดพื้นที่ ‘คลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.’ ใหม่ เน้นดูแลประชากรในพื้นที่ เน้นบริการเชิงรุก แก้ปัญหา 'ใบส่งตัว'
สปสช. เล็งจัดพื้นที่ ‘คลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.’ ใหม่ เน้นดูแลประชากรในพื้นที่ เน้นบริการเชิงรุก แก้ปัญหา 'ใบส่งตัว'
สปสช. เล็งจัดพื้นที่ ‘คลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.’ ใหม่ เน้นดูแลประชากรในพื้นที่ เน้นบริการเชิงรุก แก้ปัญหา 'ใบส่งตัว' auser15 Sun, 2025-08-03 - 11:43 เลขาธิการ สปสช. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “สรณคมน์คลินิกเวชกรรม” รับฟังปัญหา “การแบ่งเขตพื้นที่ดูแลผู้ป่วยไม่สอดคล้องกับชุมชน” ส่งผลให้ผู้ป่วยในพื้นที่ต้องไปรับบริการที่อื่น ขณะที่คนนอกพื้นที่มาใช้สิทธิแค่ “ขอใบส่งตัว” เผยเตรียมทบทวนเสนอปรับจัดสรรพื้นที่ดูแลประชากรใหม่ หนุนคลินิกดูแลผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ช่วยแก้ปัญหาใบส่งตัว พร้อมให้บริการสร้างเสริมสุขภาพฯ ทั่วถึง ตั้งเป้าเริ่มในปีงบประมาณ 2569 3 สิงหาคม 2568 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย พ.ท. ทพ.ธนศักดิ์ ถัมภ์บรรฑุ ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 13 กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการของ “สรณคมน์คลินิกเวชกรรม” เขตดอนเมือง เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 โดยมี พล.อ.ต. นพ.เฉลิมพร บุญสิริ ผู้ประกอบการสรณคมน์คลินิก ให้การต้อนรับ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งนี้ สรณคมน์คลินิกเวชกรรม เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ (คลินิกชุมชนอบอุ่น) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เมื่อปี 2563 มีศูนย์บริการสาธารณสุข 60 รสสุคนธ์ มโนชญากร เป็นหน่วยบริการประจำ และมีโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กับโรงพยาบาล IMH สีลม เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อ ปัจจุบันดูแลประชากรสิทธิบัตรทอง จำนวน 8,059 คน โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยทั่วไปร้อยละ 78 และผู้ป่วยเรื้อรังร้อยละ 22 สำหรับบุคลากรผู้ให้บริการ ประกอบด้วย แพทย์ 2 คน, พยาบาลวิชาชีพ 3 คน, เภสัชกร 1 คน, นักจิตวิทยาชุมชน 1 คน, นักวิชาการสาธารณสุข 5 คน และบุคลากรอื่น ๆ อีก 2 คน นพ.จเด็จ กล่าวว่า คลินิกเวชกรรมแห่งนี้ มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยสูงและมีจุดแข็งที่การให้บริการรวดเร็ว แต่พื้นที่ที่ได้รับมอบหมายดูแลกลับน้อยเกินไป ไม่สมดุลกับศักยภาพที่มีอยู่ นอกจากนี้เมื่อลงพื้นที่จริงยังพบว่าการแบ่งเขตไม่เหมาะสม เพราะคลินิกตั้งอยู่บริเวณหัวมุม ไม่ได้อยู่กึ่งกลางของพื้นที่ที่จัดสรรให้ จึงไม่สามารถเข้าไปดูแลประชากรในชุมชนใกล้เคียงได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้เกิดปัญหาที่ผู้ป่วยในชุมชนต้องออกไปรับบริการที่อื่น ส่วนผู้ป่วยที่อยู่นอกพื้นที่แต่มีสิทธิกลับเข้ามาเพื่อขอใบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ดีการกระจายพื้นที่ให้คลินิกดูแลในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมกับบริบทจริงของพื้นที่ ซึ่งใน กทม. มีคลินิกแบบนี้อยู่ราว 240 แห่ง ซึ่งคงต้องมาทบทวนปรับใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งที่คลินิกนี้มีผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่กว่า 800 คนต่อเดือน แต่ผู้ป่วยเหล่านี้กลับไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมชน และเมื่อกลับจากการรักษาแล้วก็ไม่มีใครติดตามดูแล ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องเวียนกลับมาขอใบส่งตัวซ้ำทุก 2-3 เดือน ซึ่งไม่ช่วยให้สภาพโรคดีขึ้นได้เลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของ สปสช. โดยจะมีการทำข้อเสนอเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการระดับเขต เพื่อเริ่มต้นดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2569 “บทบาทของคลินิกไม่ควรจำกัดอยู่แค่การรักษาผู้ป่วย แต่ต้องเน้นสร้างเสริมสุขภาพฯ เชิงรุกด้วย ซึ่ง สปสช. มีงบประมาณนี้เหลืออยู่ทุกปี จึงต้องกระตุ้นให้คลินิกดำเนินกิจกรรมในพื้นที่เพื่อรับงบประมาณตามบริการเหล่านั้น ไม่ใช่แค่การจัดสรรงบตามความเจ็บป่วย เพราะหากเป็นระบบที่ยิ่งมีผู้ป่วยมากยิ่งได้เงินมาก ระบบก็จะไปไม่รอด จึงต้องกลับมาคิดและทำข้อเสนอใหม่ ทำให้คลินิกในพื้นที่ลงไปติดตามดูแลผู้ป่วยได้จริง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า สำหรับที่คลินิกเวชกรรมแห่งนี้ ทั้งผู้ป่วยและผู้นำชุมชนสะท้อนในทางเดียวกันว่าได้รับการดูแลที่ดี เนื่องจากมีผู้บริหารเป็นอาจารย์แพทย์ ที่แม้เกษียณอายุแล้วก็ยังคงเข้ามาให้บริการและเป็นที่พึ่งของชุมชน จึงควรส่งเสริมให้มีคลินิกเช่นนี้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือคลินิกต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง จากการประเมินพบว่าคลินิกควรมีกำไรประมาณ 20% แต่ปัจจุบันยังทำไม่ได้ จึงต้องมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และเยี่ยมบ้าน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้คลินิกอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องใบส่งตัวของคลินิกใน กทม. ได้ด้วย “ลองนึกภาพว่า ผู้ป่วย ไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ พบคุณหมอตรวจ 5 นาทีแล้วกลับบ้าน แล้วอีก 2-3 เดือนก็เจอกันใหม่ ในระหว่างนั้นควรมีคนลงไปให้คำแนะนำในการดูแลโรคเรื้อรังต่างๆ ดังนั้นในปีงบประมาณหน้าเราจะพยายามปรับตรงนี้ เพื่อให้คลินิกเดินหน้าสู่การเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่สร้างชุมชนอบอุ่นได้จริง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว พล.อ.ต. นพ.เฉลิมพร กล่าวว่า การเปิดคลินิกแห่งนี้คือความตั้งใจที่จะให้เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยในชุมชนอย่างแท้จริง ในฐานะแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมองเห็นความสำคัญของการดูแลแบบองค์รวม แต่ปัจจุบันมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งได้สะท้อนปัญหานี้ให้เลขาธิการ สปสช. รับทราบแล้ว และเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคต ทำให้คลินิกดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก “เรามีผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวนมากที่ออกจากโรงพยาบาล และไม่สามารถเข้าไปดูแลสร้างเสริมสุขภาพฯ หรือเยี่ยมบ้านได้เพราะอยู่นอกเขตพื้นที่ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสที่จะได้รับการดูแลต่อเนื่อง ทั้งการปรับพฤติกรรมดูแลตนเอง การใช้ยา และการเสริมสุขภาพต่างๆ ที่ช่วยให้ควบคุมโรคได้ดีขึ้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการปรับเขตพื้นที่ประชากร เพื่อให้เกิดการดูแลแบบองค์รวมที่ครบวงจรได้” ผู้ประกอบการสรณคมน์คลินิก กล่าว ด้าน นายสันติ ภู่ด้วง ประธานชุมชนหมู่บ้านปิ่นเจริญ 1 กล่าวว่า ชุมชนแห่งนี้ก่อตั้งมานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันคนในชุมชนส่วนใหญ่มีอายุ 60-70 ปีขึ้นไปแล้ว การไปรักษาที่โรงพยาบาลแต่ละครั้งใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายมาก แต่หากมารับบริการที่คลินิกจะใช้เวลารอตรวจไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็กลับบ้าน มีความสะดวกมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน ที่ต้องมารับยาที่นี่เดือนละครั้ง “คลินิกแห่งนี้คุณหมอให้การดูแลเป็นอย่างดี แต่ปัญหาทุกวันนี้คือคนในชุมชนต้องออกไปใช้บริการข้างนอก ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็ต้องเข้ามาใช้บริการที่คลินิกนี้แทน หากสามารถจัดกลุ่มพื้นที่ใหม่ เช่นรอบคลินิกแห่งนี้ มี 3 ชุมชนตั้งอยู่ รวมประชากรเกือบ 3 หมื่นคน หากเข้ามารับบริการได้ ก็จะช่วยให้การดูแลดีขึ้น ไม่ว่าการเยี่ยมบ้านหรือติดตามในชุมชนก็ทำได้สะดวกมากขึ้น” ประธานชุมชนหมู่บ้านปิ่นเจริญ 1 กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * สปสช. * คลินิกชุมชนอบอุ่น
dlvr.it
August 3, 2025 at 4:45 AM Everybody can reply
สปสช. อัปเดทใหม่ 8 บริการ บนไลน์ OA สปสช. ชวนคนไทยเพิ่มเพื่อนไลน์ ใช้บริการดูแลสุขภาพใกล้ตัว สะดวก ครบวงจร
สปสช. อัปเดทใหม่ 8 บริการ บนไลน์ OA สปสช. ชวนคนไทยเพิ่มเพื่อนไลน์ ใช้บริการดูแลสุขภาพใกล้ตัว สะดวก ครบวงจร
สปสช. อัปเดทใหม่ 8 บริการ บนไลน์ OA สปสช. ชวนคนไทยเพิ่มเพื่อนไลน์ ใช้บริการดูแลสุขภาพใกล้ตัว สะดวก ครบวงจร auser15 Sun, 2025-09-28 - 09:50 สปสช. อัปเดทใหม่ 8 บริการ บน “ไลน์ OA สปสช.” (พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso) ชวนคนไทยเพิ่มเพื่อนกับ สปสช. ใช้ “บริการดูแลสุขภาพใกล้ตัว” สะดวก–รวดเร็ว–ครบวงจร ทั้ง ตรวจสอบสิทธิ เปลี่ยนหน่วยบริการ ขอรหัสเข้ารับบริการ เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ตรวจสุขภาพใจ คัดกรองพาร์กินสัน หมอประจำบ้านอัจฉริยะ และเทเลเมดิซีน 28 กันยายน 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการดูแลคนไทยกว่า 47 ล้านคน ให้เข้าถึงสิทธิและบริการในระบบ “หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” หรือ บัตรทอง 30 บาท ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 นอกจากการพัฒนาในด้านสิทธิประโยชน์และบริการให้ครอบคลุมและทั่วถึงแล้ว การสื่อสารและการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการ ก็ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้ตอบโจทย์ดังกล่าว ในปี 2563 สปสช. ได้เปิดให้บริการผ่าน Line Official Account หรือ Line OA สปสช. โดยพิมพ์ไลน์ไอดี @nhso เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางเลือกเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ พร้อมได้รับข้อมูลข่าวสาร สิทธิประโยชน์ และบริการสุขภาพต่างๆ ได้ง่าย สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมใช้ไลน์ (Line) เพื่อใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยมีประชาชนร่วมเป็นเพื่อนไลน์กับ สปสช. แล้วจำนวน 11.85 ล้านคน และในปี 2567-2568 สปสช. ยังได้รับรางวัล LINE Thailand Awards ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน โดย line ของ สปสช. ที่ผ่านมาได้จับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพัฒนาการให้บริการบน Line OA สปสช.ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 8 รายการบริการแล้ว ดังนี้ ตรวจสอบสิทธิ ประชาชนสามารถตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลได้ด้วยตนเองทันที เพียงกรอกเลขบัตรประชาชน ระบบจะแสดงผลว่าอยู่ในสิทธิใด เช่น สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ รวมถึงระบุหน่วยบริการประจำตัว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดสิทธิที่ตนพึงมี สิทธิบัตรทอง 30 บาท เปลี่ยนหน่วยบริการ บริการที่ตอบโจทย์ประชาชนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่หรือผู้ที่ย้ายถิ่นฐาน สามารถเปลี่ยนหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำตัวผ่านไลน์ได้ทันที ลดภาระการเดินทางไปโรงพยาบาล ใช้เอกสารน้อย โดยสามารถเลือกหน่วยบริการที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานได้สะดวก ขอรหัสเข้ารับบริการ เป็นบริการเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการสวมสิทธิ ประชาชนสามารถขอรหัสยืนยันตัวตน (OTP) ผ่าน Line OA สปสช. (พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso)ก่อนเข้ารับบริการในโรงพยาบาล รหัสนี้จะใช้แทนบัตรประชาชนได้ ทำให้การเข้ารับบริการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมั่นใจว่าข้อมูลถูกต้อง Health Link เชื่อมข้อมูลสุขภาพ ความร่วมมือระหว่างสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กับ สปสช. ซึ่ง Health Link เป็นระบบเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยให้แพทย์สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้แบบต่อเนื่อง ไม่ว่าจะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลใด ทำให้ลดความซ้ำซ้อนของการตรวจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษา ตรวจสุขภาพใจกับ DMIND พัฒนาโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นบริการทดสอบสุขภาพจิตใจเบื้องต้นผ่าน AI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยประชาชนสำรวจภาวะความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า พร้อมคำแนะนำในการดูแลตนเอง และแนวทางเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสม ถือเป็นการคัดกรองปัญหาสุขภาพใจตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดย สปสช. ได้ร่วมเพิ่มช่องทางการเข้ารับบริการผ่าน Line OA สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso CHECK PD คัดกรองพาร์กินสันไว ผ่านช่องทาง Line OA สปสช. (พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso) เชื่อมต่อสู่แอปพลิเคชัน CHECK PD เพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคพาร์กินสันเชิงรุก พัฒนาโดยสภากาชาดไทย ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสัน สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัว หรือสัมผัสสารเคมีบางชนิด เป็นต้น โดยสามารถทำแบบทดสอบประเมินความเสี่ยงได้เองที่บ้าน และนำผลไปปรึกษาแพทย์เพื่อการป้องกันและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสสูญเสียสุขภาพในระยะยาว Doctor at Home หมอประจำบ้านอัจฉริยะ AI ที่ช่วยตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง เช่น มีไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับโรคและคำแนะนำการดูแลเบื้องต้น โดยนำข้อมูลจาก“ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1” รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ อดีตอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาให้บริการ หากพบอาการที่ควรพบแพทย์ ระบบจะแนะนำต่อไปยังหน่วยบริการ ถือเป็น “หมอประจำบ้าน” ที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการผ่านทาง Line OA สปสช. โดยพิมพ์ไลน์ไอดี @nhso ได้แล้ว บริการเทเลเมดิซีน ช่องทางเชื่อมต่อบริการเทเลเมดิซีน 3 ผู้ให้บริการ ได้แก่ Saluber MD (ซาลูเบอร์ เอ็ม ดี) ดำเนินการโดย สุขสบายคลินิกเวชกรรม, Clicknic (คลินิก) ดำเนินการโดย คลินิกเฮลท์คลินิกเวชกรรม และ Mordee (หมอดี) ดำเนินการโดย ชีวีบริรักษ์ คลินิกเวชกรรม ร่วมกับ สปสช. โดยเป็นบริการพบ “แพทย์ทางไกลผ่านระบบออนไลน์” สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สะดวกเดินทาง ลดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องติดตามอาการต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยให้เข้าถึงการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้รวดเร็วขึ้น พร้อมรับยาได้ที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปที่หน่วยบริการ เพิ่มความสะดวกเข้าบริการ ทพ.อรรถพร กล่าวเพิ่มเติมว่า Line OA สปสช. เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับบริการของสายด่วน 1330 ซึ่งปัจจุบัน สปสช. ได้ขยายช่องทางการสื่อสารทั้งทางโทรศัพท์ เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชัน สปสช. เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกช่องทางที่สะดวกที่สุดในการเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือ โดยบริการเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้คนไทยได้รับการดูแลสุขภาพที่ใกล้ตัวและสะดวกยิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเพิ่มเพื่อน Line OA สปสช. เพียงพิมพ์ไลน์ไอดี @nhso ก็จะสามารถเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพที่ครบถ้วนได้ทันที โดยในรายการที่เป็นบริการตรวจคัดกรอง หากพบภาวะเสี่ยง ผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถใช้สิทธิเข้ารับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * สปสช. * สุขภาพ * ไลน์ OA สปสช.
dlvr.it
September 28, 2025 at 2:58 AM Everybody can reply
คือตีกันเพราะโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อยรับยาร้านยาได้ของสปสช ทำรายได้คลินิกหมอลดลงชัวร์ คืองี้ ยู let’s use ur brain aite if we don’t have drug stores as primary care anymore. How can you handle that 70M ppl who’ve forced to go to hospital to see doctors with like only a bug bite or low fever ? IDIOTS
November 9, 2024 at 4:41 AM Everybody can reply
บอร์ด สปสช. เห็นชอบ แผน 4 ปี พัฒนาระบบบริการโรค ‘NCDs-ไต-มะเร็ง’ เพิ่มเข้าถึงบริการ ลดผู้ป่วยรายใหม่
บอร์ด สปสช. เห็นชอบ แผน 4 ปี พัฒนาระบบบริการโรค ‘NCDs-ไต-มะเร็ง’ เพิ่มเข้าถึงบริการ ลดผู้ป่วยรายใหม่
บอร์ด สปสช. เห็นชอบ แผน 4 ปี พัฒนาระบบบริการโรค ‘NCDs-ไต-มะเร็ง’ เพิ่มเข้าถึงบริการ ลดผู้ป่วยรายใหม่ auser15 Sat, 2025-09-06 - 08:56 บอร์ด สปสช. เห็นชอบแผน 4 ปี พัฒนาระบบบริการโรคสำคัญ “NCDs – ไตวายเรื้อรัง - มะเร็ง” ของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามโรคสำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการเข้าถึงบริการ ลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม บอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงาน ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2568 - 2571) ของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้ารับบริการโรคที่มีความสำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ และการเข้าถึงบริการในโรคที่มีความสำคัญ ทั้งนี้ โรคที่มีความสำคัญที่จะดำเนินการในระยะ 4 ปีนี้ ทางคณะอนุกรรมการฯ ได้กำหนดไว้ 3 กลุ่มโรคด้วยกัน ประกอบด้วย โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (เบาหวานและความโลหิตสูง) โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และโรคมะเร็ง ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีการตั้งคณะทำงาน เพื่อจัดทำแผนในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1. คณะทำงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เบาหวานและความดันโลหิตสูง) ที่มี นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ เป็นประธาน 2. คณะทำงานโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่มี นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เป็นประธาน และ 3. คณะทำงานโรคมะเร็ง ที่มี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ เป็นประธาน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดแต่ละแผนนั้น ในแผนพัฒนาระบบกำกับติดตามการเข้าถึงบริการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จะมุ่งสนับสนุนการพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพตามนโยบายคนไทยห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ของ สธ. รวมถึงสนับสนุนและกำกับติดตามการดำเนินงานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตลอดจนสนับสนุนและกำกับติดตามการจัดบริการของหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มการเข้าถึงบริการและผลลัพธ์บริการที่ดีขึ้น ขณะที่แผนพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการบำบัดทดแทนไต จะเน้นสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 รูปแบบ คือ ล้างไตทางช่องท้อง (PD) การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) การปลูกถ่ายไต (KT) และการดูแลแบบประคับประคอง เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการมากขึ้น ภายใต้เป้าหมายคือ ลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังรายใหม่ให้เหลือไม่เกิน 1.5 หมื่นรายต่อปี และทำให้สัดส่วนงบค่าบริการด้านโรคไต ไม่เกิน 12% ของงบบัตรทองทั้งหมด “ปัจจุบันจากการปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นล้างไตทางช่องท้องทางเลือกแรก (PD first) ทำให้จากเดิมที่จะมีผู้ป่วยไตรายใหม่ประมาณ 2,000 รายต่อเดือน ตอนนี้ก็ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,500 คน ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยไตรายใหม่ที่เข้าสู่การบำบัดด้วยการล้างทางไตทางช่องท้องพอๆ กับการฟอกเลือดแล้ว” รมว.สาธารณสุข ระบุ ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในส่วนแผนพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการโรคมะเร็ง จะมีการจัดทำข้อเสนอการจ่ายชดเชยค่าบริการดูแลรักษาโรคมะเร็งในระบบบัตรทอง พัฒนาเครือข่ายหน่วยบริการโรคมะเร็งในระบบบัตรทอง เช่น การพัฒนาศักยภาพ/ขยายเครือข่ายบริการให้ครอบคลุม ฯลฯ และสุดท้ายคือการศึกษาความเป็นไปได้การจัดตั้งกองทุนยามะเร็ง “จากแผนตรงนี้ก็จะช่วยเสริมให้การดำเนินตามนโยบายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะนโยบายคนไทยห่างไกล NCDs นโยบายล้างไตช่องท้องทางเลือกแรก และหากทำได้ดีก็จะช่วยลดคนป่วย รวมถึงประหยัดงบบัตรทองได้อีกมาก” เลขาธิการ สปสช. กล่าว   * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * สปสช.
dlvr.it
September 6, 2025 at 2:21 AM Everybody can reply
ตามประเด็นการเมือง "ปลัดสธ." เชื่อรัฐบาลตัดงบกลางให้ 4 พันล้าน บรรเทาสถานการณ์การเงินของโรงพยาบาลได้ เสนอ สปสช.ใช้เลขขาดทุนตั้งงบปี 70 หารือการเปลี่ยนวิธีจ่ายงบบัตรทอง เผย "พัฒนา" ให้แนวทางดึงต่างด้าวมาลงทะเบียนจ่ายประกันสุขภาพ

สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/5196438/
#งบประมาณ #สปสช #เดลินิวส์
หาวิธีเพิ่มงบเข้า 'สปสช.' | เดลินิวส์
ตามประเด็นการเมือง… "ปลัดสธ." เชื่อรัฐบาลตัดงบกลางให้ 4 พันล้าน บรรเทาสถานการณ์การเงินของโรงพยาบาลได้ เสนอ สปสช.ใช้เลขขาดทุนตั้งงบปี 70 หารือการเปลี่ยนวิธีจ่ายงบบัตรทอง เผย "พัฒนา" ให้แนวทางดึงต่างด้า...
www.dailynews.co.th
October 12, 2025 at 2:13 AM Everybody can reply