รู้จักสูตรบำนาญใหม่ สปส. 'ส่งน้อยได้น้อย ส่งเยอะได้เยอะ' มีแผนชดเชยคนได้น้อย
รู้จักสูตรบำนาญใหม่ สปส. 'ส่งน้อยได้น้อย ส่งเยอะได้เยอะ' มีแผนชดเชยคนได้น้อย
รายงาน: ณัฐพล เมฆโสภณ
XmasUser
Fri, 2025-10-24 - 19:29
เมื่อ 21 ต.ค. 2568 สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้เปิดเผยผลการทำประชาพิจารณ์สูตรคำนวณบำนาญสูตรใหม่ หรือสูตร CARE (Career Average Revalued Earning) ของผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 จำโดยสำนักงานประกันสังคม ระหว่างวันที่ 1 - 17 ต.ค. 2568 ก็ต้องบอกว่าสูตรคำนวณบำนาญที่เสนอฝ่ายคณิตศาสตร์ประกันสังคม ได้ผลตอบรับดีเป็นอย่างมาก
โดยภาพรวมผลสำรวจประชาพิจารณ์ มีผู้ตอบแบบสอบถามทุกช่องทาง (ระบบกฎหมายกลาง, LINE, หน่วยบริการ, และที่ประชุมประชาพิจารณ์) จำนวนทั้งสิ้น 102,010 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ที่เห็นด้วย 79,498 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 77.93 ผู้ที่ไม่เห็นด้วย 22,512 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 22.07
ขณะที่ บุปผา เรืองสุด เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำผลการลงประชาพิจารณ์เข้าสู่การประชุมอนุกรรมการฯ และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
ในระหว่างที่เรากำลังรอให้สูตรคำนวณบำนาญสูตรใหม่ประกาศใช้ ประชาไทช่วยสรุปสาระสำคัญของสูตรคำนวณบำนาญใหม่ของสำนักงานประกันสังคม แตกต่างจากของเดิมอย่างไร และต่อเนื่องจากประเด็นที่มีคนถกเถียงกันมาก สรุปสูตรบำนาญใหม่ทำให้คนได้เงินน้อยลงจริงหรือไม่ และถ้าน้อยลงทางสำนักงานประกันสังคมจะมีแผนช่วยเหลือต่อคนที่ได้รับผลกระทบอย่างไร
ช่วงรู้ไว้ใช่ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 คือลูกจ้างในสถานประกอบการ เช่น พนักงานบริษัท ลูกจ้างโรงงาน แรงงานข้ามชาติ และอื่นๆ โดยลูกจ้าง-นายจ้าง จะต้องจ่ายสมทบฝ่ายละ 5% ของเงินเดือน โดยมีเพดานไม่เกิน 15,000 บาท หรือจ่ายสมทบสูงสุด 750 บาทต่อเดือน
ส่วนผู้ประกันตน มาตรา 39 ก็คือคนที่เคยอยู่ในประกันสังคม ม.33 แต่เกิดจุดเปลี่ยนตกงาน หรือไม่สามารถหางานใหม่ได้ แต่ยังต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมของตัวเอง สามารถจ่ายเงินเข้าประกันสังคม มาตรา 39 ตามความสมัครใจ
สำหรับมาตรา 39 มีเงื่อนไขคือต้องจ่ายสมทบ ม.33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และยื่นสมัครเข้า ม.39 ภายใน 6 เดือนหลังตกงาน โดยจ่ายเดือนละ 432 บาทอัตราคงที่
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม เมื่อ ส.ค. 2568 เผยว่า มีผู้ประกันตน มาตรา 33 จำนวนประมาณ 12 ล้านราย และมาตรา 39 จำนวน 1.6 ล้านราย
เงื่อนไขของผู้ที่ได้เงินบำนาญชราภาพของประกันสังคม
* ต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์
* จ่ายสมทบไม่ต่ำกว่า 180 เดือน (หรือ 15 ปี)
* สิ้ดสุดการเป็นสมาชิกภาพผู้ประกันตน (ไม่ว่าจะโดยการลาออก / สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน)
ทำไมต้องเปลี่ยนสูตรบำนาญใหม่
ทางสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า สูตรคำนวณเก่าซึ่งเราใช้มาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะสะดวกต่อการคำนวณ เพราะคิดจากอัตราค่าจ้างในการส่งสมทบช่วง 60 เดือนสุดท้าย (5 ปีสุดท้าย) แต่กลับพบว่าอาจจะเป็นสูตรที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตน และกองทุนประกันสังคม
* 'คนจ่ายเยอะ กลับได้บำนาญน้อย'
ปัญหาหลักของสูตรคำนวณบำนาญแบบเดิมมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. ‘คนจ่ายเยอะได้เงินบำนาญน้อย’ หากเราคิดบำนาญจากการจ่ายสมทบให้ 5 ปีหลังสุด มันจะไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่จ่ายสมทบในระดับสูงมานาน แต่ถูกเลิกจ้าง แล้วต้องมาจ่ายสมทบ ม.39 ในช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุ ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับบำนาญน้อยลงตามไปด้วย
ยกตัวอย่าง นาย A เป็นพนักงานบริษัท ส่งสมทบในระดับสูงตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แต่ 5 ปีก่อนเกษียณ นาย A ถูกเลย์ออฟ เลยหันไปทำอาชีพอิสระ ‘ไรเดอร์’ เพื่อประทังชีวิต และไม่สามารถหางานประจำได้ เพื่อรักษาสิทธิบำนาญของประกันสังคม นาย A ตัดสินใจจ่ายสมทบ ม. 39 จำนวน 432 บาท เป็นเวลา 5 ปีที่เหลือ
ดังนั้น หากคิดตามสูตรบำนาญเดิมจะคิดแค่เฉพาะในช่วง 5 ปีสุดท้ายที่นาย A ตกไปอยู่ในมาตรา 39 และทำให้นาย A ได้เงินบำนาญลดลงตามไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง นาย A จ่ายสมทบให้กับกองทุนฯ เป็นอัตราที่สูงมาโดยตลอดก่อนหน้านี้
* 'จ่ายน้อย แต่ได้บำนาญสูง กองทุนถูกเอาเปรียบ'
อีกหนึ่งในปัญหาที่พบคือการที่บริษัทหรือสถานประกอบการบางแห่งจงใจแจ้งเงินเดือนของพนักงานในระดับต่ำกว่าความจริง แต่ในช่วงก่อนเกษียณกลับมีการส่งสมทบในระดับสูงแบบก้าวกระโดด เพื่อให้ได้รับบำนาญในระดับสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ประกันตนจึงได้รับเงินบำนาญระดับสูง แม้ว่าจะจ่ายสมทบระดับต่ำมานาน และทำให้กองทุนฯ ขาดทุน
ด้วยปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศกลุ่ม OECD ประเทศในยุโรป และอื่นๆ ไม่ได้ใช้สูตรคำนวณค่าเฉลี่ยอัตราค่าจ้างในช่วงท้ายก่อนการเกษียณแล้ว และใช้สูตรคำนวณค่าเฉลี่ยตลอดการส่งสมทบกองทุน หรือที่เรียกว่าสูตร "CARE"
ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) ฝ่ายผู้ประกันตน เสริมว่า ภาพรวมสถานการณ์การจ่ายบำนาญ ปัจจุบันมีผู้รับบำนาญทั้งหมด 847,050 คน ได้บำนาญเฉลี่ย 2,949 บาทต่อเดือน และใช้งบประมาณราว 27,000 ล้านบาท
ษัษฐรัมย์ ระบุว่า สมมติฐานตอนเราออกแบบเงินบำนาญชราภาพแบบเดิม เรามักมีภาพในหัวว่าคนทำงานจะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นแบบ ‘ขั้นบันได’ อย่างต่อเนื่องทุกปี ดังนั้น การคำนวณเงินในช่วง 5 ปีสุดท้ายจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์สูงสุด แต่หลังจากเราใช้สูตรบำนาญมาแล้ว 15 ปี กลับพบว่าเมื่อเอาสูตรคำนวณระหว่างสูตรเก่า และสูตรใหม่ มาเทียบกัน พบว่าผู้ประกันตน 570,000 คนได้รับบำนาญอย่างไม่เป็นธรรม หรือได้เงินบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย ขณะเดียวกัน มีเพียง 200,000 กว่าคนที่ได้รับเงินบำนาญที่เหมาะสม นอกจากนี้ การใช้สูตรคำนวณใหม่ พบว่าในจำนวน 8 แสนกว่าคน ได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 270 บาท/คน/เดือน
ขณะที่เมื่อใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ หรือสูตร ‘CARE’ ในอีก 10 ปีข้างหน้า สปส.จะมีผู้เกษียณอายุประมาณ 3 ล้านคน และใน 3 ล้านคนจะมีคนได้รับบำนาญเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7-8% ต่อคน อันนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้า เริ่มแนวคิดการเปลี่ยนสูตรบำนาญ
ด้านณภูมิ สุวรรณภูมิ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เสริมข้อมูลด้วยว่ามีคนเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากการทำงานในช่วงแรก แต่ 2 ใน 3 ไม่ได้มีเงินเดือนมากขึ้นกว่าในช่วงแรก
แบบเก่า VS แบบใหม่ แตกต่างอย่างไร
โดยง่าย สูตรคำนวณบำนาญประกันสังคมเดิม คิดอัตราค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่สูตรบำนาญใหม่ หรือสูตร “CARE” จะคำนวณจากอัตราค่าจ้างเฉลี่ยตลอดการส่งสมทบตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย พร้อมคำนวณเศษเดือน
นอกจากนี้ บำนาญสูตร CARE จะมีการปรับสูตรคำนวณบำนาญในแต่ละปี เพื่อให้สอดคล้องกับค่าเงิน สภาพเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแตกต่างจากสูตรบำนาญสูตรเดิมที่จะใช้ตัวเลขคงที่ ไม่มีการปรับเปลี่ยน
โดยปกติแล้วสูตรคำนวณบำนาญทั่วโลกจะเป็นรูปแบบนี้
อัตราบำนาญ * ฐานค่าจ้าง
โดยอัตราบำนาญ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งสมทบ
อัตราบำนาญ
สูตรเดิม คือ 20% + 1.5% ต่อปีตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป (Ex. ทำงานมา 17 ปี อัตราบำนาญจะเท่ากับ 23%)
สูตรใหม่ คือ 20% + 0.125% ต่อเดือนที่สมทบมากกว่า 180 เดือน (หรือรวมแล้ว 1.5% ต่อปี เท่ากับสูตรเดิม)
โดยสูตรใหม่ใช้เป็น ‘เดือน’ เพราะจะนับเศษเดือนด้วยกรณีที่ไม่ครบปี เช่น ทำงานมา 17 ปี กับอีก 5 เดือน สูตรใหม่จะนับรวมจำนวนเดือนให้ด้วย ซึ่งต่างจากสูตรเก่าที่จะปัดลงเป็น 17 ปี
ฐานค่าจ้าง
สูตรเดิม = ใช้ฐานค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้ายที่ส่งสมทบ
สูตรใหม่ = คำนวณจากค่าจ้างทุกเดือนที่ส่งสมทบ
นอกจากนี้ สปส.จะมีการปรับค่าเงินในอดีตให้เป็นปัจจุบันด้วย เช่น เมื่อ 20 ปีที่แล้วผู้ประกันตนเริ่มจ่ายสมทบค่าจ้างจำนวน 6,000 บาท แต่เนื่องด้วยค่าเงินในอดีตกับปัจจุบันไม่เท่ากัน สปส.ก็จะนำไปคำนวณว่า 6,000 บาทเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เท่ากับค่าเงินเท่าไรในปัจจุบัน
ภาพสไลด์จากอาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
จากนั้น ก็เอาค่าเฉลี่ยที่ปรับมาเป็นปัจจุบันไปคำนวณเป็นบำนาญอีกทีหนึ่ง ดังนั้น ผู้ประกันตนจะไม่ต้องกังวลว่า เมื่อก่อนเราจ่ายน้อยมาก แสดงว่าเราอาจจะได้บำนาญน้อยลงเยอะในสูตรคำนวณสูตรใหม่
ภาพสไลด์จากอาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
สำหรับคนที่ต้องการดูรายละเอียดการคำนวณค่าจ้างของตัวเอง สามารถคลิกได้ที่ลิงก์นี้ https://sso.thaith.ai/care/
หมายเหตุ : สูตร CARE ที่ใช้คำนวณในเว็บไซต์จะเป็นสูตรคำนวณบำนาญเฉพาะของปี 2568 เท่านั้น ถ้ากรณีที่ผู้ทดลองคำนวณบำนาญจะเกษียณสมมติอีก 10 ปีข้างหน้า สูตรคำนวณตรงนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสูตร CARE จะมีการปรับสูตรทุกปี เพื่อทำให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ค่าเงิน และอัตราเงินเฟ้อ ตามที่กล่าวข้างต้น
ใครได้ประโยชน์บ้าง (?) มีคนได้เงินน้อยลงหรือไม่
คนที่ได้รับผลกระทบจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือคนที่ได้บำนาญเพิ่มขึ้น คนที่ได้บำนาญใกล้เคียงเท่าเดิม และมีคนที่ได้บำนาญลดลงเล็กน้อย
คนที่ได้รับบำนาญเยอะขึ้น
* ผู้ประกันตน ม.33 ที่จ่ายสมทบในระดับสูงมานาน แต่ในช่วงก่อนเกษียณ เกิดตกงานและรักษาสิทธิของตัวเองในมาตรา 39 ในช่วงก่อนเกษียณ คนกลุ่มนี้จะได้เงินเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่าง จากเว็บไซต์คำนวณบำนาญ สูตร CARE สมมติ ผู้ประกันตน มาตรา 33 ส่งสมทบตั้งแต่ปี 2541 โดยค่าจ้างเริ่มต้น 5,000 บาท และปรับเพิ่มค่าจ้างปีละ 0.3% จนกระทั่ง ธ.ค. 2563 เปลี่ยนมาส่งมาตรา 39 เนื่องจากตกงาน และไปประกอบอาชีพอิสระ จนกระทั่งเกษียณในปี 2568
* สูตรเก่า ได้รับบำนาญเดือนละ 1,958 บาท
* ขณะที่สูตร CARE ได้บำนาญเพิ่มเป็นเดือนละ 3,599 บาท
* ผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่จ่ายสมทบระดับสูงมานาน แต่เกิดเหตุในช่วงก่อนเกษียณ ได้รับเงินเดือนน้อยลงมาก หรือเท่ากับฐานค่าแรงขั้นต่ำ
คนที่ได้ใกล้เคียงหรือเท่าเดิม
* กลุ่มผู้ประกันตน ม.33 ที่จ่ายในระดับสูงตั้งแต่ต้นจนถึงวัยเกษียณ
* หรือผู้ประกันตน ม.33 ที่เงินเดือนค่อยๆ เพิ่มในแต่ละปี และมาจ่ายสมทบเต็มเพดานค่าจ้าง 15,000 บาทช่วงปลาย
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางกรณีที่มีคนที่ได้ลดลงเล็กน้อย
* ผู้ประกันตนที่เงินเดือนในอดีตต่ำ และต่ำมานานเป็น 15 ปี คืออยู่ระหว่าง 4,000-5,000 บาท แต่ระยะเวลา 5 ปีสุดท้ายได้ค่าจ้างแบบก้าวกระโดด 15,000 บาท
ประวัติผู้ประกันตน มาตรา 33 จ่ายสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธ.ค. 2541 ค่าจ้างเริ่มต้น 6,500 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% โดยจะเกษียณอายุ ธ.ค. 2570 รวมส่งเงินสมทบ 348 งวด
* บำนาญสูตรเก่า ได้รับเงินเดือนละ 6,536 บาท
* บำนาญสูตรใหม่ ได้รับเงินเดือนละ 6,138 บาท (ลดลง 398 บาท)
ทั้งนี้ บำนาญสูตร CARE ไม่ได้ทำให้เราได้บำนาญเพิ่มขึ้นหรือลดบำนาญ แต่เป็นการใช้หลักการคำนวณที่เป็นธรรมตามหลักสากล ส่วนผู้ประกันตนจะได้บำนาญเยอะขึ้นหรือน้อยขึ้นอยู่กับการส่งสมทบของผู้ประกันตน
ถ้าได้บำนาญน้อยลง สปส. ช่วยอย่างไร
หนึ่งในประเด็นที่มีคนถกเถียง และแสดงความไม่พอใจก็คือการใช้สูตรคำนวณใหม่ หรือสูตร CARE อาจจะมีมาตรา 33 บางกลุ่มได้เงินลดลงเล็กน้อย ในเรื่องนี้ทางสำนักงานประกันสังคมได้มีแผนที่จะชดเชยให้กับผู้ประกันตนเป็นเวลา 5 ปี เฉพาะกรณีที่ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญน้อยลงเมื่อเทียบกับสูตรคำนวณสูตรเก่า โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
* หากผู้ที่เกษียณภายในปีแรกที่มีการปรับสูตรบำนาญใหม่ จะชดเชยส่วนต่างให้ 100%
* ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 ชดเชย 80%
* ผู้ที่เกษียณปีที่ 3 ชดเชย 60%
* ผู้ที่เกษียณปีที่ 4 ชดเชย 40%
* ผู้ที่เกษียณปีที่ 5 ชดเชย 20%
* เกิน 5 ปี ไม่มีการชดเชยส่วนต่างให้
ยกตัวอย่าง ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 หลังออกกฎหมาย หากคำนวณสูตรเดิมได้ 5,000 บาท แต่สูตรใหม่ได้ 4,000 บาท (ลดลง 1,000 บาท) จะได้ชดเชย 800 บาท รวมได้บำนาญ 4,800 บาท และ 'คนที่ได้ชดเชย จะเป็นการชดเชยทุกเดือนตลอดชีวิต'
คนที่ได้รับบำนาญอยู่แล้วจะไม่ถูกปรับลด
นอกจากมาตรการชดเชยข้างต้นแล้ว ผู้ประกันตนที่ได้รับบำนาญมาแล้วก่อนหน้านี้จะไม่ได้ถูกปรับลดลง
กล่าวคือผู้ประกันตนที่ได้รับบำนาญก่อนที่จะมีการใช้สูตร CARE หากใช้สูตร CARE และคำนวณแล้ว พบว่าได้เงินลดลง เงินบำนาญของผู้ประกันตนจะยังคงได้รับเท่าเดิม ไม่มีการหักออกตามการคำนวณสูตรใหม่ ขณะเดียวกัน หากใช้สูตร CARE แล้วได้เงินเพิ่มขึ้น เงินบำนาญของผู้ประกันตนจะได้เพิ่มขึ้นไปด้วย
เพื่อให้เห็นภาพ ผู้ประกันตน A ได้รับบำนาญมาก่อนหน้านี้ในปี 2565-2568 อยู่ที่ 3,000 บาทต่อเดือน แต่หลังการใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ พบว่าผู้ประกันตน A ได้เงินลดลงที่ 2,800 บาท ดังนั้น ผู้ประกันตน A จะยังคงได้รับเงินเท่าเดิมคือ 3,000 บาท ไม่มีการหักเงินในกรณีที่สูตรคำนวณบำนาญใหม่คำนวณแล้วทำให้ได้เงินลดลง
กรณีต่อมา ผู้ประกันตน B ได้บำนาญช่วงปี 2565-2568 อยู่ที่ 3,000 บาทต่อเดือน แต่หลังการใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ในปี 2569 พบว่าผู้ประกันตน B ได้เงินเยอะขึ้นเป็น 3,400 บาท ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ผู้ประกันตน B จะได้รับบำนาญ 3,400 บาทต่อเดือน
ทำไมไม่ชดเชยให้คนที่เกษียณหลัง 5 ปี
ณภูมิ สุวรรณภูมิ คณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม และเป็นผู้เสนอสูตรบำนาญใหม่ ชี้แจงว่า การชดเชยทำในระยะสั้นเท่านั้นเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะเกษียณเร็วๆ นี้ เพราะว่าคนที่ใกล้เกษียณเขาก็วางแผนเงินไว้แล้วว่าเขาจะได้เงินบำนาญเอาไปใช้อะไรบ้าง เมื่อสูตรบำนาญใหม่ทำให้ผู้ประกันตนได้เงินลดลง ก็จะกระทบต่อแผนการใช้ชีวิตของเขา ดังนั้น ทาง สปส.เลยมีการจ่ายชดเชยให้
ณภูมิ สุวรรณภูมิ (ที่มา: ไลฟ์สด สำนักงานประกันสังคม เมื่อ 10 ต.ค. 2568)
คำถามว่าขยายระยะเวลาจ่ายชดเชยเป็น 5 ปีขึ้นไปได้หรือไม่ ณภูมิ อธิบายว่า การจ่ายชดเชยระยะยาวมีผลทำให้กองทุนต้องจ่ายเงินมากขึ้น คำถามสำคัญก็คือกองทุนฯ จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าชดเชยเหล่านี้
ณภูมิ อธิบายว่า เบื้องต้น คนที่เกษียณอายุไปแล้วจะไม่ได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนอีกแล้วเพราะว่าเกษียณ ทำให้ภาระของผู้ที่จะมาจ่ายค่าชดเชยดังกล่าวจะเป็นผู้ประกันตนปัจจุบัน และในอนาคต ดังนั้น ก็ต้องถามผู้ประกันตนปัจจุบันด้วยว่าอยากจะขยายเวลาชดเชยในส่วนนี้หรือไม่
มีผู้ที่สงสัยว่า เราสามารถใช้สูตรคำนวณบำนาญเก่าและใหม่พร้อมกันได้หรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกันตนได้มีทางเลือก ถ้าใช้สูตรไหนแล้วได้เงินเยอะ ก็เลือกใช้สูตรนั้น ฝ่ายคณิตศาสตร์ประกันภัย อธิบายเรื่องนี้ว่า “มันไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาสูตรที่เป็นธรรมมากขึ้น แต่คือการเพิ่มสิทธิประโยชน์ คือมี 2 สูตร สูตรไหนให้เงินเยอะขึ้น ก็ใช้สูตรนั้น คำถามคือใครจ่าย คนได้ประโยชน์คือคนรับบำนาญ แต่ว่าเมื่อมีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นคือต้องมีคนจ่าย กองทุนฯ จ่ายก็จริง แต่เงินของกองทุนฯ ก็มาจากคนที่จ่ายเงินสมทบอีกที …โดย 6-7% ของกองทุนชราภาพ มาจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล
"ถ้าทำกันแบบเราแคร์ทุกคน คือทุกคนที่ได้รับบำนาญ มันกลายเป็นเรื่องของการเพิ่มสิทธิ์ มันต้องตามมาด้วยว่าใครจ่าย ซึ่งถ้าพวกคุณในห้องนี้บอกว่ายอมจ่ายเพิ่ม ก็ทำได้ ก็เป็นข้อตกลงกันว่าสวัสดิการอยากปรับเป็นสูตรที่ดีขึ้น มีสองสูตร เลือกสูตรที่ได้เงินเยอะกว่า และเราอาจจะมาคุยกันว่าจะเพิ่มอัตราเงินสมทบเท่าไร ขยายอายุเกษียณ หรืออื่นๆ แต่เราตกลงกันว่าไม่อยากทำอย่างนั้น เราอยากทำการชดเชยแค่ช่วงเปลี่ยนผ่าน และไม่กระทบคนรุ่นหลัง" ณภูมิ กล่าว
เพิ่มบำนาญ เพิ่มศรัทธา
การพัฒนาสิทธิประโยชน์ของ สปส. ในมุมมองของ ษัษฐรัมย์ ยังมองด้วยว่า เป็นการเพิ่มศรัทธา และจะทำให้มีคนอยากเข้าระบบประกันสังคมมากยิ่งขึ้น
“สูตรนี้จะทำให้คนมีความไว้ใจต่อการส่งประกันสังคมมากขึ้น ถ้าทุกคนดูในโลกออนไลน์จะมีคลิปที่สอนว่า ถ้าออกจากงาน อย่าส่งมาตรา 39 เพราะคือช่องโหว่ เพราะถ้าส่งมาตรา 39 เงิน (บำนาญ) จะน้อยลงทันที นั่นหมายความว่าเรากำลังออกแบบสูตร (เดิม) ไม่ให้คนมาส่งมาตรา 39 ทั้งที่การส่งมาตรา 39 จะทำให้คุณได้สิทธิประโยชน์มากขึ้นมากกว่าแค่เรื่องเงินบำนาญ
"ดังนั้นถ้าเราปรับสิทธิประโยชน์บำนาญจะทำให้คนส่งมาตรา 39 เพิ่มขึ้น เมื่อเงินไหลเข้าประกันสังคม ก็จะทำให้เราวางแผนกลไกเรื่องของสิทธิประโยชน์ในอนาคตได้" ษัษฐรัมย์ กล่าว
กระทบเสถียรภาพกองทุนฯ หรือไม่
ก่อนหน้านี้มีคำถามด้วยว่าเมื่อมีการจ่ายเงินบำนาญเพิ่มขึ้น แสดงว่าจะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพกองทุนด้วยหรือไม่ ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า การสูตรบำนาญใหม่ช่วง 10 ปีแรกจะอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท จากที่ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีจำนวนเงิน 2.6 ล้านล้านบาท
ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี เมื่อ 10 ต.ค. 2568
อย่างไรก็ตาม หลังจาก 10 ปีเป็นต้นมา เงินที่ใช้เพิ่มขึ้นจะเฉลี่ยลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียง 0 บาท เนื่องจากผู้ประกันตนที่รับบำนาญอยู่แล้วจะมีจำนวนลดลง เพราะเสียชีวิต
ทั้งนี้ ษัษฐรัมย์ กล่าวว่าเงินจำนวน 170,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นมาในช่วง 10 ปีหลังใช้สูตรใหม่ จะยังไม่ได้มีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับงบประมาณสิทธิประโยชน์เรื่องเงินสงเคราะห์บุตร แต่เงินที่จ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีนี้กลับช่วยเหลือคนได้จำนวนมาก
"มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สูตรใหม่ตัวนี้จะทำให้กลุ่มคนเจน 'Z' หรือแรงงานรุ่นใหม่ในอนาคตได้รับประโยชน์มากขึ้น เพราะว่าเขามีแนวโน้มไม่ได้ทำงานยาวนานในชีวิต เงินเดือนเขาอาจจะเยอะในช่วงแรก และอาจจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์ นี่คือกลุ่มเจน Z ที่จะได้ประโยชน์ ขณะที่การปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดก็ทำให้แรงงานรุ่นก่อน รุ่นปัจจุบัน และรุ่นใกล้เกษียณได้ประโยชน์ พอสองอย่างนี้ทำควบคู่กัน นอกจากเสถียรภาพของกองทุนแล้ว ยังก่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างรุ่น" ษัษฐรัมย์ กล่าว
ทั้งนี้ ยุทธวิธีที่ทำให้กองทุน สปส.ยั่งยืน ทาง สปส.วางแผนในการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่มีความซ้ำซ้อน และนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนฯ โดยตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 6-7% และในอนาคตจะมีการปรับเพดานสมทบฯ มาตรา 33 ด้วยจากเดิมอยู่ที่ 15,000 บาท โดยในปี 2569 เพิ่มเพดานเป็น 17,500 บาท ในปี 2572 เพิ่มเป็น 20,000 บาท และในปี 2575 เพิ่มเป็น 23,000 บาท
นอกจากมาตรา 33 แล้ว ตัวของแผนสมทบของผู้ประกันตน มาตรา 39 จะปรับเพดานค่าจ้างขึ้นด้วยจากเดิม 432 บาทอัตราคงที่ โดยตอนนี้มีอยู่ 2 สูตร ประกอบด้วย สูตรที่ 1 มี 2 ทางเลือก คือ 600 บาท และอีกขั้น 700 บาท และสูตรที่ 2 มี 3 ทางเลือก คือ 472 บาท 653 บาท และ 772 บาท ซึ่งตอนนี้ผ่านประชาพิจารณ์ไปแล้ว เหลือแค่ให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติ และประกาศเป็นกฎกระทรวง
* รายงานพิเศษ
* แรงงาน
* คุณภาพชีวิต
* กองทุนประกันสังคม
* สูตรคำนวณบำนาญชราภาพ
* สูตร CARE
* ผู้ประกันตน
* ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
* ณภูมิ สุวรรณภูมิ