Prachatai Feeds
banner
prachataifeeds.bsky.social
Prachatai Feeds
@prachataifeeds.bsky.social
16 followers 1 following 1.9K posts
Posts Media Videos Starter Packs
ถอนสัญชาติไทย 'ลียง พัด' สว.กัมพูชา เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ถอนสัญชาติไทย 'ลียง พัด' สว.กัมพูชา เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ถอนสัญชาติไทย 'ลียง พัด' สว.กัมพูชา เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ auser15 Sat, 2025-10-25 - 15:22 เมื่อวันที่ 24 ต.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่ลงนามโดย 'อนุทิน ชาญวีรกูล' เรื่องถอนสัญชาติไทย 'ลียง พัด' หรือ 'พัด สุภาภา' สว.กัมพูชา เอี่ยวค้ามนุษย์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 'ลียง พัด' หรือ 'พัด สุภาภา' สว.กัมพูชา วันที่ 24 ตุลาคม 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่ลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องถอนสัญชาติไทย ระบุว่า ด้วยปรากฏว่า นายพัด สุภาภา หรือลียง พัด บุคคลสัญชาติไทย ซึ่งได้รับสัญชาติไทย โดยการแปลงสัญชาติมีพฤติการณ์ยังคงใช้สัญชาติกัมพูชา ประกอบกับได้รับรายงานข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ที่แสดงว่ามีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลที่ฉ้อโกงประชาชน จนถูกสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติแห่งสหรัฐอเมริกา คว่ำบาตร เนื่องจากมีลักษณะพิเศษในการถูกอายัดทรัพย์สินเพราะเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และหลอกลวงไซเบอร์ เห็นว่าพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวนั้นเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง หรือขัดประโยชน์ต่อรัฐ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อยู่ในข่ายถูกถอนสัญชาติไทยได้ตามมาตรา 19 (2) (3) (4) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และหากปล่อยไว้เนิ่นช้าออกไป จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประชาชนและสาธารณะได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ให้ถอนสัญชาติไทยของนายพัด สุภาภา หรือลียง พัด จึงประกาศมาให้ทราบทั่วกัน ประกาศ ณ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568 * ข่าว * การเมือง * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * กัมพูชา * ลียง พัด
dlvr.it
เผย 'ทรัมป์' มุ่งหน้ายังมาเลเซียแล้ว เพื่อร่วมพิธีลงนามข้อตกลงไทย-กัมพูชา
เผย 'ทรัมป์' มุ่งหน้ายังมาเลเซียแล้ว เพื่อร่วมพิธีลงนามข้อตกลงไทย-กัมพูชา
เผย 'ทรัมป์' มุ่งหน้ายังมาเลเซียแล้ว เพื่อร่วมพิธีลงนามข้อตกลงไทย-กัมพูชา auser15 Sat, 2025-10-25 - 15:02 เผย 'ทรัมป์' ออกเดินทางจากสหรัฐฯ มุ่งหน้ายังมาเลเซียแล้ว เพื่อร่วมพิธีลงนามข้อตกลงไทย-กัมพูชา และการประชุมอาเซียนที่กำลังจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.2568) 25 ตุลาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางมาถึงฐานทัพทหารในรัฐแมรีแลนด์ของสหรัฐฯ เพื่อโดยสารเครื่องบินแอร์ ฟอซ วัน มุ่งหน้ายังกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียเพื่อร่วมประชุมกับผู้นำชาติอาเซียนและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา มาเลเซียเป็นจุดหมายแรกของการเดินสายทัวร์เอเชียของทรัมป์ ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางต่อไปยังญี่ปุ่น ซึ่งจะถือเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบ 6 ปี และยังได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นด้วย ก่อนที่ทรัมป์จะปิดจบทริปเอเชียที่เกาหลีใต้ แต่อยู่เพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น ขณะที่การเดินสายเยือนเอเชียครั้งนี้ของผู้นำสหรัฐฯ ต่างถูกจับตามองว่าอาจเป็นความพยายามในการทวงบัลลังก์คืนจากจีน ซึ่งกำลังแผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมทั้งภูมิภาคนี้ * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * โดนัลด์ ทรัมป์ * ประชุมสุดยอดอาเซียน * สหรัฐอเมริกา * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
พบเรือรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร ลอบขนถ่ายก๊าซน่านน้ำห่างชายฝั่งมาเลเซีย 90 กม.
พบเรือรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร ลอบขนถ่ายก๊าซน่านน้ำห่างชายฝั่งมาเลเซีย 90 กม.
พบเรือรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร ลอบขนถ่ายก๊าซน่านน้ำห่างชายฝั่งมาเลเซีย 90 กม. auser15 Sat, 2025-10-25 - 14:48 มีภาพถ่ายผ่านดาวเทียมเปิดเผยให้เห็นเรือสัญชาติรัสเซียที่ลักลอบขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ทะเลเปิดห่างจากชายฝั่งมาเลเซีย 90 กม. ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือที่ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัสเซียพยายามใช้เส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรจากตะวันตก ภาพประกอบจาก: Wikimedia  25 ตุลาคม 2025 มีการตรวจพบเรือชื่อ The Perle ซึ่งเป็นเรือของรัสเซียที่สหรัฐฯ เคยสั่งคว่ำบาตรในปีนี้ กำลังขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากเรืออีกลำหนึ่งที่ทะเลเปิด ห่างออกไปทางตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย 90 กม. มีการจับภาพได้โดยดาวเทียม Sentinel-2 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา รวมถึงมีข้อมูลจากการติดตามการเดินเรือก่อนหน้านี้ด้วย มีการตั้งข้อสังเกตว่าเรือสองลำนี้ได้กระทำการในลักษณะขนถ่ายสินค้ากันและพื้นที่ๆ เรือสองลำนี้ดำเนินการก็เป็นที่ๆ มักจะเกิดการลักลอบแลกเปลี่ยนน้ำมันดิบที่เสี่ยงต่อการละเมิดกฎ โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่าง "กองเรือเงา" ซึ่งเป็นชื่อเรียกเรือที่ใช้วิธีการต่างๆ ในการปกปิดเจตนาลักลอบขนส่งสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตและ/หรือผิดกฎหมาย การตรวจจับครั้งนี้น่าจะเป็นการจับได้ครั้งแรกว่ามีเรือบรรทุก LNG จากรัสเซียขนถ่ายสินค้าที่น่านน้ำใกล้มาเลเซีย และมีการตั้งข้อสังเกตว่าเรือ The Perle นี้ได้เดินทางมาที่แถบเอเชียนานแล้ว และน่าจะพยายามอย่างยากลำบากในการหาผู้ซื้อ ก่อนหน้าที่จะมาเอเชียพวกเขาได้ทำการหยุดเรือไว้เฉยๆ เป็นเวลาหลายเดือน Kpler บริษัทวิเคราะห์และติดตามข้อมูลการเดินเรือ ระบุว่า เรือเงา The Perle ได้บรรทุกสินค้าเป็นก๊าซ LNG มาจากท่าส่งออกก๊าซพอร์ตโตวายาที่ชายฝั่งมหาสมุทรบอลติกของรัสเซียตั้งแต่เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 และดูเหมือนว่าพวกเขาจะหยุดเรือรออยู่เป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะเดินทางมายังเอเชียในเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยแล่นอ้อมมาทางแหลมกู้ดโฮป ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแอฟริกาฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก จากข้อมูลติดตามการเดินเรือยังระบุอีกว่า ท่าส่งออกก๊าซพอร์ตโตวายา น่าจะขายก๊าซของพวกเขาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ สั่งคว่ำบาตรห้ามไม่ให้ท่าส่งออกนี้ส่งออกก๊าซให้ผู้ซื้อต่างประเทศ เพราะนี่เป็นเรือลำแรกของพวกเขาที่เดินทางไปยังตะวันออกภายในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทางการรัสเซียจะเพิ่มความพยายามในการหาผู้รับซื้อก๊าซของพวกเขามากขึ้น แม้แต่ในช่วงที่ชาติตะวันตกพยายามสกัดกั้นการขายก๊าซ LNG ของพวกเขา ซึ่งนอกจากท่าส่งก๊าซพอร์ตโตวายาแล้ว ก็ยังมีท่าส่งออกก๊าซอีกแห่งหนึ่งที่ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ คือ Arctic LNG 2 ได้ส่งออกก๊าซที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปให้กับจีนเมื่อเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเดินทางไปเยือนจีนพอดี ฐานข้อมูลการขนส่งทางเรือ Equasis ระบุว่า  เรือ Perle มีเจ้าของเป็นบริษัท ดรีมเมอร์ ชิป เมเนจเมนต์ ผู้ใช้สถานที่จดทะเบียนเป็นโรงแรมเมย์ดานในดูไบ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่บริษัทช่วยสร้างเรือเงาให้กับรัสเซียใช้จดทะเบียนเช่นกัน พอร์ตโตวายาที่เป็นท่าส่งออกเดียวของบริษัท Gazprom บริษัทที่มีรัฐบาลรัสเซียเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด โดยที่ท่าพอร์ตโตวายาและบริษัทเจ้าของท่าเรือแห่งนี้ต่างก็ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มกราคม 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในการคว่ำบาตรสั่งลาหลายชุด ในช่วงที่รัฐบาล โจ ไบเดน กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง โดยในการคว่ำบาตรนี้มีเป้าหมายเพื่อ "ตัดกำลังภาคส่วนพลังงานของรัสเซีย" สำหรับอีกกรณีหนึ่งที่รัสเซียส่งออกพลังงาน LNG ให้กับจีนจากท่าส่งออกโครงการ Arctic LNG 2 นั้น ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ท้าทายการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจากสหภาพยุโรป ที่ทำการคว่ำบาตรทั้งท่าส่งออกนี้และเรือที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ มีการประเมินว่าจีนน่าจะได้รับสินค้าจากตู้คอนเทนเนอร์อย่างน้อย 10 ตู้ จาก Arctic LNG 2 เรียบเรียงจาก Dark ship appears to transfer sanctioned Russian LNG off Malaysia, Free Malaysia Today, 19-10-2025 Dark ship appearing to transfer sanctioned Russia LNG off Malaysia, satellite images show, Straits Times, 19-10-2025 Russia Attempts Rare and Risky LNG Ship-to-Ship Transfer, Oil Price, 20-10-2025   * ข่าว * ต่างประเทศ * รัสเซีย * มาเลเซีย
dlvr.it
ย้ำไม่ได้ห้ามเอกชนจัดกิจกรรมรื่นเริง ขอเพียงปรับรูปแบบให้เหมาะสม
ย้ำไม่ได้ห้ามเอกชนจัดกิจกรรมรื่นเริง ขอเพียงปรับรูปแบบให้เหมาะสม
ย้ำไม่ได้ห้ามเอกชนจัดกิจกรรมรื่นเริง ขอเพียงปรับรูปแบบให้เหมาะสม auser15 Sat, 2025-10-25 - 14:35 เลขาธิการนายกฯ ย้ำ ครม. ไม่มีมติห้ามเอกชนจัดกิจกรรมรื่นเริง ขอเพียงพิจารณาปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งการไว้อาลัย - คอนเสิร์ต BLACKPINK 25-26 ต.ค. 68 ขอความร่วมมือแต่งกายสีขาว-ดำ เข้าชมการแสดง ภาพจาก: HubertPhotographer/Pixabay (CC0)  25 ตุลาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ได้มีมติให้ภาคเอกชนงดกิจกรรมรื่นเริงเป็นเวลา 30 วัน นั้น "ไม่เป็นความจริง" การประชุม ครม. ดังกล่าว เป็นการประชุมเพื่อรับทราบ ประกาศสำนักพระราชวัง และพิจารณาแนวทางการดำเนินการไว้ทุกข์ของส่วนราชการ นายกฯ ได้กล่าวในที่ประชุมและในแถลงการณ์ว่า รัฐบาลขอความร่วมมือให้พี่น้องประชาชนและภาคเอกชน พิจารณาปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งความอาลัย โดยมิได้มีคำสั่งห้ามหรือมติให้ระงับกิจกรรมใดเป็นการเฉพาะ "รัฐบาลมีความเข้าใจว่าภาคธุรกิจบันเทิง การท่องเที่ยว และการบริการมีการวางแผนกิจกรรมล่วงหน้าไว้แล้ว จึงขอให้ใช้ดุลยพินิจ ปรับรูปแบบให้เหมาะสม และสมพระเกียรติ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีหลวง" น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำคือ การร่วมแสดงความอาลัยด้วยจิตสำนึกแห่งความรัก ความเคารพ และความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ โดยรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาจะจำกัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจหรือกิจกรรมทางสังคมของเอกชนแต่อย่างใด เพราะเจตนารมณ์คือให้คนไทยทุกคนร่วมไว้อาลัยด้วยหัวใจ “รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมตั้งจิตภาวนา แสดงความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขอให้ดวงพระวิญญาณของพระองค์สถิตในสรวงสวรรค์ และทรงอภิบาลคุ้มครองพสกนิกรชาวไทยให้มีความผาสุกร่มเย็นภายใต้ร่มพระบารมีตลอดไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว คอนเสิร์ต BLACKPINK 25-26 ต.ค. 68 ขอความร่วมมือแต่งกายสีขาว-ดำ เข้าชมการแสดง 25 ตุลาคม 2568 เพจ Live Nation Tero โพสต์ข้อความระบุว่า เพื่อเป็นการร่วมไว้อาลัยและแสดงความเคารพต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้จัดฯ ขอความร่วมมือผู้เข้าชม คอนเสิร์ต 'BLACKPINK WORLD TOUR  IN BANGKOK' ที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 25 และ 26 ตุลาคม สวมเครื่องแต่งกายสีขาว-ดำ เข้าร่วมชมการแสดง In observance of, and to demonstrate our deep respect for Her Majesty Queen Sirikit, The Queen Mother, we kindly ask all attendees of the 'BLACKPINK WORLD TOUR  IN BANGKOK' concerts at Rajamangala Stadium on 25 and 26 October to wear black attire as a mark of mourning and respect. * ข่าว * การเมือง * สังคม * วัฒนธรรม * คุณภาพชีวิต
dlvr.it
พบหลักฐานใหม่มีการใช้วัตถุระเบิดในเหมืองโปแตชโราชกว่า 7,000 นัด
พบหลักฐานใหม่มีการใช้วัตถุระเบิดในเหมืองโปแตชโราชกว่า 7,000 นัด
พบหลักฐานใหม่มีการใช้วัตถุระเบิดในเหมืองโปแตชโราชกว่า 7,000 นัด auser15 Sat, 2025-10-25 - 14:13 กมธ.ที่ดินฯ ลงพื้นที่โคราช สางปัญหาเหมืองโปแตช พบหลักฐานใหม่มีการใช้วัตถุระเบิดจริงกว่า 7,000 นัด ผิดเงื่อนไข EIA  ชี้อาจเป็นต้นเหตุอุโมงค์พัง-ดินทรุด จี้หน่วยงานรัฐหยุดยื้อเวลา เร่งสรุปต้นตอมลพิษ ฟื้นฟูพื้นที่ เยียวยาชาวบ้าน และสอบเอาผิดเจ้าหน้าที่ละเว้นหน้าที่ ภาพจาก: กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา คณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพูนศักดิ์ จันทร์จำปี เป็นประธานฯ ได้จัดประชุมเพื่อติดตามข้อร้องเรียนเรื่อง ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโครงการเหมืองแร่โปแตชและเกลือหินของบริษัทไทยคาลิ จำกัด พื้นที่ ตำบลหนองไทร อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา หลังจากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ยื่นเรื่องร้องเรียนเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ที่รัฐสภา การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมากแล้ว คณะกรรมาธิการยังได้เชิญนักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเข้าร่วมประชุม เพื่อรับฟังข้อมูลและติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือ ความคืบหน้าการตรวจพิสูจน์ผลกระทบ ความถูกต้องของรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และตรวจสอบการใช้วัตถุระเบิดในพื้นที่เหมือง ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในรายงาน EIA ด้วย ในช่วงต้น ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา แจ้งผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานว่า จากการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผลกระทบสิ่งแวดล้อมเกิดจากส่วนใด จึงมีมติให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้วิเคราะห์กลาง โดยส่งหนังสือเชิญไปยังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งมีเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ตอบรับและได้รับส่งข้อมูลรายงาน EIA ครบถ้วนเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เพื่อดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างละเอียด และมีการแจ้งผล Baseline data ให้ทุกหน่วยงานแล้ว กมธ.ฯ ตั้งข้อสังเกตการขาดข้อมูลทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินใน EIA เป็นเหตุผลทำให้ประเมินผลกระทบไม่ได้ครบถ้วน พูนศักดิ์ ประธานกมธ. ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลทิศทางและอัตราการไหลของน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 6 (สรข.6) ชี้แจงว่า ขณะนี้มีเพียงข้อมูลเรื่องความเค็มและผลกระทบเท่านั้น ส่วนข้อมูลการไหลของน้ำยังไม่มีการศึกษา พูนศักดิ์กล่าวว่า “ถ้า Baseline Data ในรายงาน EIA ไม่มีข้อมูลการไหลของน้ำ การประเมินผลกระทบย่อมไปต่อไม่ได้” พร้อมเสนอให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินเพิ่มเติม โดยให้ดำเนินการคู่ขนานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดผลตรวจ “ซินโครตรอน” พบโซเดียม–โพแทสเซียมคลอไรด์ปนเปื้อนรัศมี 2 กม. เข้มข้นเกินมาตรฐาน 3 เท่า ทำพืชตาย–น้ำเสีย ต้องฟื้นฟูเร่งด่วน สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) รายงานผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน พบว่า โซเดียมคลอไรด์ มีค่าความเข้มข้นสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 3 เท่า พบการปนเปื้อนของ โพแทสเซียมคลอไรด์ ครอบคลุมพื้นที่รัศมีราว 2 กิโลเมตร ในพื้นที่รอบโครงการ (Focus area) สารทั้งสองชนิดมีความเป็นพิษสูงต่อพืชและสัตว์น้ำ ส่งผลให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม โดยข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤษภาคม 2566 และ 2567 พบว่าความเข้มข้นลดลงเล็กน้อยจากปัจจัยธรรมชาติ แต่ยังอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายและต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน ด้านตัวแทน สรข.6 ยืนยันมีโครงการเดียวภายใต้การกำกับดูแล กพร. ที่เป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับเกลือโซเดียมและโปแตชเซียม NaCl,KCl คือ เหมืองแร่โปแตช บริษัท ไทยคาลิ จำกัด พูนศักดิ์ กล่าวว่า “ผลกระทบที่สูงกว่าค่ามาตรฐานร้อยเท่าพันเท่า สะท้อนให้เห็นชัดว่ามีเพียงกิจการเดียวในพื้นที่ที่อาจเป็นต้นเหตุ คือเหมืองแร่โปแตชของบริษัทไทยคาลิ” พร้อมย้ำผลการตรวจสอบว่ามีความชัดเจนเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะยื้อเวลาให้ล่าช้าออกไป จากนั้นนายพูนศักดิ์จึงได้สอบถามข้อมูลความคืบหน้าเรื่องการตรวจสอบกรณีการใช้วัตถุระเบิดเมื่อปี 2559 ของบริษัทไทยคาลิ โดยทางตัวแทนปกครองจังหวัดนครราชสีมาชี้ บริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ซื้อ มี ใช้วัตถุระเบิด ในสองขนาด ซึ่งมีจำนวนรวม 59,266 นัด แต่ในการซื้อรอบแรกนั้นได้ซื้อเข้ามา 7,800 นัด และบริษัทได้มีการแจ้งทำลายเต็มจำนวน พร้อมทั้งมีหนังสือจากอำเภอด่านขุนทดถึงจังหวัดนครราชสีมาและ มทบ.21 แจ้งทำลายจำนวน 7,800 นัด เปิดหลักฐานใหม่เอกสารจาก มทบ.21 ระบุชัดมีการใช้ระเบิดจริง ด้านตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ เปิดเผยเอกสารหลักฐานใหม่ซึ่งได้รับข้อมูลเป็นลายลัษณ์อักษรจากกองทัพบก พบว่าจากรายงานการทำลายวัตถุระเบิดของมณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21) บริษัทไทยคาลิได้มีการใช้วัตถุระเบิดจริง หลังมีการนำระเบิดเข้ามาในพื้นที่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 จำนวนรวม 7,800 นัด โดยมีการใช้ระเบิดตั้งแต่ เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2561 จำนวนทั้งสิ้น 7,247 นัด แบ่งเป็น มิถุนายน 2561 จำนวน 3,300 นัด กรกฎาคม 2561 จำนวน 2,500 นัด และสิงหาคม 2561 จำนวน 1,447 นัด ส่วนที่เหลือ 553 นัด ได้ถูกนำไปทำลายโดยกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 พร้อมยืนยันว่า รายงาน EIA ไม่อนุญาตให้ใช้วัตถุระเบิด และไม่มีมาตรการรองรับในประเด็นนี้ การลักลอบใช้วัตถุระเบิดจึงถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมโดยตรง พร้อมระบุว่า ความเสียหายของอุโมงค์แนวเอียงในเหมือง น่าจะมีสาเหตุมาจากแรงระเบิด ไม่ใช่อุบัติเหตุทางวิศวกรรมอย่างที่บริษัทอ้าง และเหตุใดหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลโดยตรง เช่น สรข.6 และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา (อสจ.นม.) จึงไม่รับรู้หรือดำเนินการใด ๆ เพราะมีหน้าที่กำกับ ดูแล  และเหมืองแห่งนี้มีการสร้าง โรงเก็บวัตถุระเบิดตั้งแต่ปี 2559 และมีการขนย้ายเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2560 ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในผังโครงการเดิมเลย “การตรวจเหมืองทุกปี แต่กลับไม่พบโรงเก็บระเบิด ถือเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามถึงการละเว้นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ” นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ จี้ กมธ.ส่งเรื่องถึง ป.ป.ช. เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้น มีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในหลายหน่วยงาน ทั้งด้านมหาดไทยและหน่วยงานใต้สังกัดกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ถือเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างร้ายแรง จึงขอให้คณะกรรมาธิการที่ดินฯ เป็นผู้ดำเนินการยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบความรับผิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตำรวจเผยความคืบหน้า 2 คดีหลัก ไม่ปูผ้ายางบ่อเก็บน้ำเกลือ–ใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต เตรียมออกหมายจับผู้บริหารหากยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ด้านผู้แทนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา รับข้อมูลจากพันตำรวจเอก (พ.ต.อ.) เสกสรร บุญยรัชนิการ ผู้กำกับสำนักงานภูธรด่านขุนทด แจ้งในที่ประชุมว่า ด้านคดีความในพื้นที่ มีความคืบหน้า 2 เรื่องหลัก ได้แก่ คดีไม่ปูผ้ายางรองก้นบ่อเก็บน้ำเกลือ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกนายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย 1 ครั้งแล้ว แต่ผู้ถูกเรียกได้ขอเลื่อน และจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 หากยังไม่มาภายใน 5 วัน จะดำเนินการออกหมายจับ ส่วนคดีมีและใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเชิญ มทบ.21 เข้ามาชี้แจงและยืนยันข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นในที่ประชุมได้มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องปัญของรายงาน EIA ที่ยังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอ ทั้งเรื่องสำคัญอย่างเรื่องปริมาณและทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินในเชิงลึกกลับไม่มีข้อมูล ทั้งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำเหมืองใต้ดิน ทั้งยังมีจุดตรวจวัดที่เป็นข้อมูลพื้นฐานด้านน้ำผิวดินน้อยมาก จนไม่อาจวิเคราะห์เทียบเคียงกับผลกระทบปัจจุบันได้ อีกทั้งตัวเลขผลการตรวจสอบหลายจุดไม่สมเหตุสมผล จึงเป็นคำถามสำคัญว่ารายงาน EIA ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบได้อย่างไร ชาวบ้านโอด เหมืองเปิดเครื่อง 24 ชม. ส่งเสียงดัง–ไฟรบกวนทำข้าวลีบไม่ออกรวง ผิดเงื่อนไข EIA อีกข้อสำคัญ ด้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ แจ้งเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันบริษัทไทยคาลิทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่งเสียงดังและมีแสงไฟส่องเข้าพื้นที่นา ส่งผลให้ข้าวในพื้นที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ ทำให้เมล็ดข้าวลีบ ทั้งที่ในรายงาน EIA กำหนดให้ งดใช้เสียงระหว่างเวลา 18.00–07.00 น. ดังนั้นการดำเนินงานของบริษัทถือว่าผิดเงื่อนไข EIA อย่างชัดเจน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ด้วย เปิดมติจากคณะกรรมาธิการฯ พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้สรุปผลการประชุมเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสรุปผู้ก่อมลพิษ มอบหมายให้ศูนย์ดำรงธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดประชุมคณะทำงานระดับจังหวัดฯภายในเดือน พฤศจิกายน 2568 เพื่อสรุปต้นเหตุของการแพร่กระจายความเค็ม โดยนำข้อมูลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มาเปรียบเทียบกับ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน แผนฟื้นฟูและเยียวยา ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดทำแนวทางฟื้นฟูพื้นที่และแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมระบุแหล่งงบประมาณที่ชัดเจน กรณีการใช้วัตถุระเบิดและการก่อสร้าง ให้ระงับการก่อสร้างชั่วคราว และให้จังหวัดนครราชสีมาตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้วัตถุระเบิดภายใต้ข้อมูลใหม่ที่ได้รับ โดยทางคณะกรรมาธิการที่ดินฯ จะมีหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยและ กพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบมาตรการ EIA มอบหมายให้ สรข.6 ตรวจสอบการดำเนินงานปัจจุบันของบริษัทไทยคาลิว่าปฏิบัติตามมาตรการที่ระบุใน EIA ครบถ้วนหรือไม่ และให้สรุปผลนำเสนอในการประชุมเดือนพฤศจิกายน โดยในส่วนของน้ำใต้ดินนั้น จะมีการประสานงานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเพื่อตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเอาผิดโครงการเหมืองโปแตชด่านขุนทด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่องหลายปี พร้อมประธานคณะกรรมาธิการยืนยันว่าจะติดตามความคืบหน้าทุกด้าน ทั้งการหาผู้รับผิด การฟื้นฟูพื้นที่ และการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นครราชสีมา ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้กล่าวถึงความรู้สึกในวันนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ทางกรรมาธิการได้ลงมาประชุมในพื้นที่ และช่วยผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา เพราะเรื่องนี้คาราคาซังมา 4 ปีแล้ว หน่วยงานในพื้นที่ก็ช่วยกันปกปิดมากกว่าจะช่วยชาวบ้าน จนทำให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างล่าช้า โดยหวังว่าหลังจากกรรมธิการกลับไปหน่วยงานต่างๆจะเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดกันอย่างจริงจัง ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่เหมืองแร่โปแตช เป็นภาพสะท้อนได้อย่างดีถึงปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น รูปแบบวิธีการในการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทต่างๆ ที่มีความแนบเนียบและประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน จนทำให้มีการใช้ระเบิดกว่า 7,000 นัด ในพื้นที่ได้โดยไม่มีใครตรวจสอบว่าทำตามกฎหมายหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง ที่จะเขย่ามาตรฐานด้านกฎหมายทั้งฝั่งมหาดไทย และ กพร. เพราะหากการลักลอบใช้ระเบิดกว่า 7,000 นัด ในเหมืองใต้ดิน ที่ความเสี่ยงต่อชีวิต ทรัพย์สิน การทรุดตัวของแผ่นดินและการปนเปื้อนความเค็มของระบบน้ำใต้ดินทั้งระบบยังไม่ร้ายแรงพอที่จะปิดเหมืองได้ คงเกิดการลักลอบกระทำการเช่นนี้ในอีกหลายพื้นที่ หรือในอีกด้านหนึ่งก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็นเพียงพื้นที่แรกๆที่ถูกสาวไส้ออกมา แต่ความจริงมีการกระทำเช่นนี้อยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด * เหมืองโปแตช
dlvr.it
'อนุทิน' ยกเลิกร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน แต่จะไปร่วมลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา
'อนุทิน' ยกเลิกร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน แต่จะไปร่วมลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา
'อนุทิน' ยกเลิกร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน แต่จะไปร่วมลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา auser15 Sat, 2025-10-25 - 13:52 'อนุทิน' ยกเลิกร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซียวันนี้ (25 ต.ค.) แต่จะไปร่วมลงนามถ้อยแถลงการเสนอแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพของไทย-กัมพูชาในวันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.) 25 ตุลาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกำหนดการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่มาเลเซีย ว่าวันนี้ (25 ต.ค.) ได้ขอยกเลิกกำหนดการเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ แต่ในวันพรุ่งนี้ (24 ต.ค.) จะมีในเรื่องของการลงนามถ้อยแถลงการเสนอแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพของไทย-กัมพูชา การลงนามนี้จะมีสักขีพยาน คือ ทางมาเลเซีย และสหรัฐ แต่ได้ขอให้เลื่อนระยะเวลาการลงนามมาเป็นช่วงเช้า เพื่อให้ได้เดินทางกลับมาทันพระราชพิธีในช่วงบ่าย ส่วนการเดินทางร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่เกาหลีใต้ ได้ขอมติคณะรัฐมนตรี หากไม่มีประเด็นที่สำคัญ ที่จะต้องใช้ผู้นำประเทศไปหารือ จะมอบหมายให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่แทน เพราะตนเองมีความตั้งใจ ว่า จะต้องอยู่ในประเทศ มีแค่พรุ่งนี้เท่านั้นที่จะต้องลงนามในแนวทางสันติภาพ นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายความมั่นคง กองทัพกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันเจรจา ทั้ง JBC และ GBC แล้วนำมาซึ่งบทสรุปที่เป็นข้อกำหนด เป็นเงื่อนไขแนวทางที่ได้ขอให้ทำกัมพูชาได้ปฏิบัติ เมื่อกัมพูชาปฏิบัติแล้ว เราก็จะพิจารณา ว่า ความเป็นภัยของความมั่นคงของประเทศถ้าหมดไปแล้วค่อยดำเนินการตามธรรมเนียมทางการทูตต่อไป ดังนั้น จึงยังไม่มีสิ่งใดที่กังวล หรือ การลงนามจะไม่ทำให้เกิดการสูญเสียอธิปไตย หรือ ดินแดน ทั้งสิ้น แต่เป็นการทำ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของประชาชน ลดความสูญเสีย และรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย * ข่าว * การเมือง * อนุทิน ชาญวีรกูล * ประชุมสุดยอดอาเซียน * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
ครม. มีมติสถานที่ราชการลดธงครึ่งเสา 30 วัน ประชาชนไม่แต่งกายสีฉูดฉาด 90 วัน
ครม. มีมติสถานที่ราชการลดธงครึ่งเสา 30 วัน ประชาชนไม่แต่งกายสีฉูดฉาด 90 วัน
ครม. มีมติสถานที่ราชการลดธงครึ่งเสา 30 วัน ประชาชนไม่แต่งกายสีฉูดฉาด 90 วัน auser15 Sat, 2025-10-25 - 12:24 ครม. มีมติให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา 30 วัน แต่งกายไว้ทุกข์ 1 ปี ขอประชาชนไม่แต่งกายสีฉูดฉาด 90 วัน ขอความร่วมมือสถานบันเทิงและสถานบริการต่าง ๆ งดหรือลดกิจกรรม เพื่อความบันเทิง ตามความเหมาะสม เป็นระยะเวลา 30 วัน 25 ตุลาคม 2569 Thai PBS รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.​มหาดไทย เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาล โดยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีจะประชุมเพื่อเตรียมงานพระราชพิธีอย่างสมพระเกียรติ ซึ่งจะเตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อย เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความรู้สึกหลังสำนักพระราชวังประกาศว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต นายอนุทิน ถึงกับเงียบไประยะหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรี มีสีหน้าโศกเศร้า และดวงตาแดงก่ำ นายอนุทิน กล่าวก่อนการประชุม​คณะรัฐมนตรี​นัดพิเศษว่า​ พระราชกรณีย​กิจนานัปการที่พระองค์ท่าน​ได้ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของประเทศในทุกๆ ด้าน​ ถือเป็นแบบอย่างในการเสียสละ ความเมตตา ความห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทย ในฐานะนายกฯ จึงขอเชิญทุกท่านแสดงความอาลัย น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ​ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และขอให้พวกเราตั้งใจทำงาน​ถวายด้วยความมุ่งมั่นซื่อสัตย์ และเสียสละ เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน​ เพื่อให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า เพื่อความสถาพร และให้ประชาชนชาวไทยมีความสุข และเกิดความเจริญมั่นคงต่อประเทศชาติ จากนั้น คณะรัฐมนตรี​ ได้ยืนขึ้นสงบนิ่ง​ เพื่อถวายความอาลัย ครม. เห็นชอบตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต สำนักข่าวไทย รายงานว่า นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ความว่า ตามที่ได้มีประกาศสํานักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2568 นั้น รัฐบาลได้รับทราบด้วยความโทมนัสอย่างยิ่ง จึงเห็นสมควรประกาศ ดังต่อไปนี้ 1. ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป 2. ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์ มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป สำหรับประชาชนทั่วไปขอให้พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือสถานบันเทิงและสถานบริการต่าง ๆ งดหรือลดกิจกรรม เพื่อความบันเทิง ตามความเหมาะสม เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อให้การดำเนินการจัดพระราชพิธีพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นไปอย่างสมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี จึงให้มีการดำเนินการ ดังนี้ (1) เปิดให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. ถึง เวลา 12.00 น. ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง (2) มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแต่งตั้ง คณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการและกราบบังคมทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นองค์ที่ปรึกษา รวมทั้งให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายอำนวยการจัดงานพระราชพิธี ฝ่ายจัดการพระราชพิธี ฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้าง ราชรถ พระยานมาศ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายรักษา ความปลอดภัย และแจ้งส่วนราชการให้จัดข้าราชการไปร่วมเฝ้า ฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 100 วัน เป็นประจำทุกวัน (3) มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร) ดูแลรับผิดชอบในเรื่องรูปแบบ พิธีการและการจัดสร้างพระเมรุมาศ โดยขอรับพระราชวินิจฉัยจากองค์ที่ปรึกษาตามข้อ (2) (4) มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดผลัดเวรเฝ้า ฯ ของคณะรัฐมนตรี ไปเฝ้า ฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทุกวันตลอดระยะเวลาของพระราชพิธี (5) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครจัดกิจกรรม ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อให้ประชาชนร่วมในการถวายสักการะแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (6) มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์รับไปดำเนินการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อย่างต่อเนื่อง และประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการจัดทำคำแปลภาษาอังกฤษด้วย * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
dlvr.it
จี้รัฐบาลรีบแจงสาเหตุถนนยุบหน้า รพ.วชิรพยาบาล หลังครบ 1 เดือนยังไร้คำตอบ
จี้รัฐบาลรีบแจงสาเหตุถนนยุบหน้า รพ.วชิรพยาบาล หลังครบ 1 เดือนยังไร้คำตอบ
จี้รัฐบาลรีบแจงสาเหตุถนนยุบหน้า รพ.วชิรพยาบาล หลังครบ 1 เดือนยังไร้คำตอบ auser15 Sat, 2025-10-25 - 11:45 สส.พรรคประชาชน จี้รัฐรีบแจงสาเหตุถนนยุบ หน้า รพ.วชิรพยาบาล หลังครบ 1 เดือนยังไร้คำตอบ มองกระทรวงคมนาคมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่สัดส่วนภาคประชาชนน้อย ชี้ขาดอิสระและความโปร่งใส ย้ำส่งผลกระทบความเชื่อมั่นโครงการก่อสร้างของรัฐที่ไม่ปลอดภัย แฟ้มภาพ Thai PBS  25 ตุลาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นายปารเมศ  วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ “ถนนยุบ” บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เมื่อวันที่ 24 ก.ย.68 ที่ผ่านมาครบรอบ 1 เดือน แต่รัฐบาลยังไม่สามารถเปิดเผยสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ ว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศ แม้ว่าตนพยายามได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งจากการลงพื้นที่ และเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญของสภาผู้แทนราษฎร ที่เกี่ยวข้อง เช่น กมธ.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ กมธ.วิสามัญยกระดับมาตรฐานการก่อสร้าง สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น รวมทั้งเมื่อวันที่ 2 ต.ค.68 ตนได้ตั้งกระทู้สดถาม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้ตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง” ที่มีสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญและภาคประชาชน เพื่อให้มีกระบวนการตรวจสอบอย่างอิสระและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กระทรวงคมนาคม ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วก็ตาม แต่กลับพบว่า มีตัวแทนจากภาคประชาชนและองค์กรอิสระเพียง 2 ใน 11 ตำแหน่ง ขณะที่อีก 9 ตำแหน่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระและความโปร่งใสของกระบวนการตรวจสอบ และจนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดถนนยุบได้ และยังไม่มีรายงานทางวิศวกรรมที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งที่หลายหน่วยงานได้เข้าไปตรวจสอบตั้งแต่วันแรก ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดรัฐบาลจึงยังไม่เปิดเผยข้อมูลออกมา เรื่องนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อความปลอดภัยของโครงการก่อสร้างอื่น ๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน นายปารเมศ กล่าวด้วยว่า หากผลการสอบสวนในที่สุดชี้ชัดว่าเกิดจาก ความผิดพลาดทางวิศวกรรมหรือความบกพร่องของบริษัทผู้รับเหมา รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยาชั่วคราว แต่ต้องมีการลงโทษตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด การขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) บริษัทผู้รับเหมาที่สร้างความเสียหาย และ การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดต่อหน่วยงานระดับใหญ่ ที่มีอำนาจอนุมัติและควบคุมงานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ภัยพิบัติ * แผ่นดินทรุด
dlvr.it
ผบ.พันทหารช่างเผยเคลียร์ทุ่นระเบิดอีสานตอนล่างเกือบหมด ชี้ยังถูกขัดขวางจากกัมพูชา
ผบ.พันทหารช่างเผยเคลียร์ทุ่นระเบิดอีสานตอนล่างเกือบหมด ชี้ยังถูกขัดขวางจากกัมพูชา
ผบ.พันทหารช่างเผยเคลียร์ทุ่นระเบิดอีสานตอนล่างเกือบหมด ชี้ยังถูกขัดขวางจากกัมพูชา auser15 Sat, 2025-10-25 - 11:38 ผบ.พันทหารช่างที่ 6 เผย นปท.3 เคลียร์ทุ่นระเบิดอีสานตอนล่างเกือบหมด ชี้ยังถูกขัดขวางจากกัมพูชา NBT Connext รายงานเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ว่า ที่ฐานปฏิบัติการภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ พ.ท.ศุภวัฒน์ นามม่อง ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 ผู้บังคับหน่วยตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิดหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 กล่าวถึงภารกิจของหน่วยปฏิบัติการทุนระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) ว่า สำหรับภารกิจของนปท.3 ประกอบด้วย 5 ประการหลักได้แก่ 1.งานเก็บกู้ระเบิด 2.งานแจ้งเตือนให้ความรู้ 3.งานช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด 4.งานทำลายทุ่นระเบิดที่ได้จากการปฎิบัติภารกิจ 5.การสนับสนุนหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่รับผิดชอบ สำหรับพื้นที่ปนเปื้อนทุนระเบิดในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง พ.ท.ศุภวัฒน์ กล่าวอีกว่า โดยมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2543 อยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี รวมทั้งสิ้น 1,349 ตารางกิโลเมตร ซึ่งได้เก็บกู้ไปแล้ว 1,342 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 99.45 เปอร์เซ็นต์ คงเหลือพื้นที่อันตรายในจังหวัดบุรีรัมย์ 0.27 ตารางกิโลเมตร จังหวัดสุรินทร์  2.23 ตารางกิโลเมตร ศรีสะเกษ 4.02 ตารางกิโลเมตร และจังหวัดอุบลราชธานี 0.67 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งหมด 7.37 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็น 0.55 เปอร์เซ็นต์ พ.ท.ศุภวัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งการปฏิบัติงานในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประสบกับปัญหาคือการขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชา โดยเก็บสถิติจากปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ถูกขัดขวางทั้งสิ้น 22 ครั้ง และนอกจากการขัดขวางการปฏิบัติงานแล้ว มีการวางทุ่นระเบิดเพิ่มเติม ซึ่งมีกำลังพลของไทยเหยียบไป 6 ครั้ง และในห้วงการปะทะที่ผ่านมา ในการยิงจรวด BM-21 (บีเอ็ม-21) ลงมาตกบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดข้างต้น ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้จัดชุดป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) เข้ามาเก็บกู้และทำลายจำนวน 960 จุด นอกจากนั้นยังได้จัดชุดเก็บกู้ เข้ามาตรวจค้น และทำลายทุ่นระเบิดในพื้นที่ฐานปฏิบัติการต่างๆ โดยตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติม 801 ทุ่น และในปัจจุบันมีการตรวจพบเจออยู่เรื่อย ๆ เมื่อถามว่ากัมพูชายังมีการวางแผนระเบิดตามแนวชายแดนของประเทศกัมพูชาอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันตนเองใช่หรือไม่ พ.ท.ศุภวัฒน์ กล่าวว่า คาดว่าน่าจะวางเต็มแล้ว หากจะไปไหนก็ต้องใช้ทหารช่างในการตรวจค้นก่อน เพื่อความปลอดภัยของกำลังพล โดยบนพื้นที่ยอดภูมะเขือเราได้ทำการเคลียร์หมดแล้ว พ.ท.ศุภวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับตู้ระเบิดที่ได้มีการตรวจพบนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก 1.ระเบิดที่ใช้ดักรถถัง 2.ระเบิดสังหารผู้คน โดยระเบิดสังหารบุคคลจะมุ่งเน้นให้ตัวบุคคลได้รับบาดเจ็บ เพื่อถ่วงกำลังพลในกลุ่ม ส่วนระเบิดดักรถถังนั้นจะทำงานเพื่อมีน้ำหนักกรดปริมาณมาก โดยจะไม่ทำงานหากมีคนเหยียบ เมื่อถามว่าทางหน่วยมีการดูแลกำลังพลอย่างไรในการออกปฏิบัติการ เนื่องจากในขณะนี้ผู้บังคับบัญชาใส่ใจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาก พ.ท.ศุภวัฒน์ กล่าวว่า จะมีการให้ความรู้และการฝึกทบทวนต่าง ๆ รวมถึงมีการเน้นย้ำจากผู้บังคับบัญชา ให้ระมัดระวังอันตรายจากทุ่นระเบิด รวมถึงมีการเพิ่มเติมยุทธโธปกรณ์ต่างๆ ในการตรวจค้นให้ทันสมัย เพื่อให้ได้ตรวจทุ่นระเบิดให้พบ โดยหน่วยเหนือจะมีการสำรวจอยู่ตลอดว่าในห้วงเวลานี้มีการต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยในหน่วยปฏิบัติก็จะเสนอข้อมูลไป * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ทุ่นระเบิด * กับระเบิด
dlvr.it
สปสช. แจงรายละเอียดงบกองทุนบัตรทองทำไมต้องรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ
สปสช. แจงรายละเอียดงบกองทุนบัตรทองทำไมต้องรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ
สปสช. แจงรายละเอียดงบกองทุนบัตรทองทำไมต้องรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ auser15 Sat, 2025-10-25 - 11:18 สปสช. แจงงบกองทุนบัตรทองรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐด้วย ชี้เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อกระจายบุคลากรตามจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสาธารณสุขระหว่างเมืองและชนบท พร้อมแจงรายละเอียดและหลักการคำนวณ 25 ตุลาคม 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวว่า งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ สปสช. ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลนั้น ในส่วนของงบเหมาจ่ายรายหัว ได้รวมเงินเดือนบุคลากรหน่วยบริการภาครัฐไว้ด้วย ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 46 (2) ที่ระบุว่าครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นเพื่อกระจายบุคลากรตามจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขระหว่างประชาชนในพื้นที่เมืองและชนบท และเพื่อให้โรงพยาบาลตระหนักถึงต้นทุนหลักอย่างเงินเดือนบุคลากรซึ่งจะช่วยรักษาประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณสุข ยกตัวอย่างในปีงบประมาณ 2567 งบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 165,525.15 ล้านบาท (หรืออัตราเหมาจ่ายเท่ากับ 3,472.24 บาทต่อผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 47.671 ล้านคน) เป็นงบสำหรับบริการทางการแพทย์ 100,634.43 ล้านบาท และเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ 64,890.72 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2569 งบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 198,227.74 ล้านบาท (หรืออัตราเหมาจ่ายเท่ากับ 4,173.04 บาทต่อผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 47.502 ล้านคน) เป็นงบสำหรับบริการทางการแพทย์ 133,154.28 ล้านบาท และเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ 65,073.46 ล้านบาท ทั้งนี้ ข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการ พ.ศ.2538 ทำให้เงินที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับจะเป็นเฉพาะเงินส่วนที่ไม่รวมเงินเดือนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของหน่วยบริการของรัฐที่ได้รับจากเงินงบประมาณโดยตรง (ค่าแรงในระบบ) ดังนั้นจึงต้องมีการหักค่าแรงในระบบสำหรับหน่วยบริการของรัฐออกจากเงินที่จ่าย ก่อนที่จะจ่ายจริงให้กับหน่วยบริการของรัฐต่างๆ โฆษก สปสช. กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางหักเงินเดือนหรือค่าแรงบุคลากรนั้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 สำนักงบประมาณได้เริ่มหักค่าแรงโดยใช้ฐานการหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐในปีที่ผ่านมาคูณด้วยอัตราการเติบโตของค่าแรง (% Growth) ต่อมาปี 2566 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) และ สปสช. ทำข้อมูลร่วมกันแล้วพบว่าอัตราการเติบโตจริง คือ 4.93% จึงได้ขอปรับลดอัตราการหักค่าแรงภาครัฐไปที่สำนักงบประมาณ และใช้ข้อมูลนี้มาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 รวมถึงมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ในการจัดทำคำของบประมาณว่า เมื่อหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐแล้ว งบดำเนินการหลักจะไม่ลดลงและควรเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของหน่วยบริการ สำหรับขั้นตอนการหักค่าแรงในหน่วยบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น สำนักงบประมาณดำเนินการดังนี้ 1. แยกเพดานค่าแรงในระบบเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. และกลุ่มหน่วยบริการของรัฐอื่นๆ 2. หักค่าแรงจากรายการค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว โดยให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบตามการคำนวณของสานักงบประมาณ และให้มีการเกลี่ยระหว่างหน่วยบริการภายในกลุ่มเดียวกันได้ 3. วิธีการหักค่าแรงแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 3.1 หน่วยบริการรัฐสังกัดอื่นๆ ในพื้นที่เขต 1-12 ให้หักค่าแรงในระบบที่ระดับหน่วยบริการประจำ โดยให้หักจากรายรับผู้ป่วยนอก (OP) ผู้ป่วยใน IP และบริการสร้างเสริมสุขภาพ (PP) โดยให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบรวมตามการคำนวณของสำนักงบประมาณ 3.2 หน่วยบริการรัฐสังกัดอื่นๆ ในพื้นที่เขต 13 แนวทางการหักค่าแรง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ สปสช.กำหนด 3.3 หน่วยบริการของรัฐสังกัด สป.สธ. ให้หักค่าแรงในระบบที่ระดับหน่วยบริการประจำ โดยหักจากรายรับ OP/PP/IP ให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบรวมตามการคำนวณของสานักงบประมาณ โดยใช้ตัวเลขการเบิกจ่ายงบบุคลากรจากระบบของกรมบัญชีกลางและระบบ GFMIS เป็นตัวเลขอ้างอิงระดับจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปรับเกลี่ยกระจายเป็นรายหน่วยบริการประจำ ด้วยข้อมูลงบบุคลากรที่ปฏิบัติงานจริงจากกระทรวงสาธารณสุข โดยในส่วนนี้จะเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สป.สธ. และ สปสช. ในรูปแบบของคณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัด สป.สธ.ระดับประเทศ หรือคณะกรรมการฯ 7x7 * ข่าว * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * สปสช. * สุขภาพ * บุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ
dlvr.it
จนถึงวันที่ 24 ต.ค. ต่างชาติจาก KK Park ข้ามแดนมาฝั่งไทย 1,198 คน แล้ว
จนถึงวันที่ 24 ต.ค. ต่างชาติจาก KK Park ข้ามแดนมาฝั่งไทย 1,198 คน แล้ว
จนถึงวันที่ 24 ต.ค. ต่างชาติจาก KK Park ข้ามแดนมาฝั่งไทย 1,198 คน แล้ว auser15 Sat, 2025-10-25 - 10:50 กองกำลังนเรศวร คุมเข้มชายแดนแม่สอด หลังเกิดเหตุความไม่สงบในพื้นที่โครงการ KK Park จนถึงวันที่ 24 ต.ค. 68 มีชาวต่างชาติทะลักข้ามแดนมาฝั่งไทยกว่า 1,198 คน จาก 28 สัญชาติ ภาพจาก: เพจเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์จังหวัดตาก 25 ตุลาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พร้อมด้วย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู และ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 ลงพื้นที่ แนวชายแดน บริเวณ จุดตรวจการณ์สันยายหลู่ เพื่อติดตามสถานการณ์ ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ทหารเมียนมาเข้าควบคุมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษจีน KK-Park ส่งผลให้กลุ่มทุนและพนักงานในบ่อนฯ และ ชาวต่างชาติภายในโครงการฯ เกิดความหวาดกลัว และได้ลักลอบหลบหนีข้ามมายังฝั่งไทย ทั้งนี้ ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ(ส่วนหน้า) แก้ไขปัญหาบุคคลต่างชาติลักลอบเข้ามายังพื้นที่จังหวัดตาก และ ช่วยเหลือชาวต่างชาติ โดยดูแล ณ พื้นที่พักรอการคัดกรอง จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ อาคารจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 และ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 เพื่อเข้าสู่กระบวนการศูนย์บูรณาการคัดแยกตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM โดยทีมสหวิชาชีพต่อไป โดยมียอด ณ วันที่ 24 ต.ค. 68 กว่า 1,198 คน จาก 28 สัญชาติ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู และ หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง เพิ่มเติมกำลังลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่แนวชายแดน, เตรียมการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยของกองกำลังติดอาวุธต่างชาติ หรือ ภัยคุกคามรูปแบบอื่น และ ดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน อย่างเต็มกำลังความสามารถตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ กองกำลังนเรศวร ขอแจ้งให้ทราบว่า ประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย และไม่สนับสนุนให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นพื้นที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง หากมีบุคคลฝั่งเมียนมาได้รับผลกระทบจากความไม่สงบไม่ว่าฝ่ายใด เจ้าหน้าที่ไทยทุกฝ่ายมีหน้าที่ดูแลตามหลักมนุษยธรรมภายใต้อธิปไตยไทยโดยไม่เลือกปฏิบัติ และขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ สื่อมวลชน และทุกภาคส่วน ในการพิจารณาข่าวสารข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ให้กับประชาชน * ข่าว * ความมั่นคง * แม่สอด * เมียนมา * เคเคปาร์ค * KK Park * แก๊งสแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * ชายแดนไทย-เมียนมา
dlvr.it
กสทช. หารือแก้ปัญหาสื่อสร้างความเกลียดชังจากประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา
กสทช. หารือแก้ปัญหาสื่อสร้างความเกลียดชังจากประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา
กสทช. หารือแก้ปัญหาสื่อสร้างความเกลียดชังจากประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา auser15 Sat, 2025-10-25 - 10:05 สำนักงาน กสทช. จัดประชุมผู้แทนองค์กรสื่อ-กองทัพ-นักการทูต-นักจิตวิทยา-นักสิทธิมนุษยชน หารือแนวทางป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือสร้างความเกลียดชัง จากประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้สื่อกระแสหลักควรระวังการผลิตซ้ำเนื้อหาจากสื่อออนไลน์และการเร้าอารมณ์ สำนักงาน กสทช. แจ้งข่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นประธานการประชุมหารือวงปิดที่อภิปรายหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่สื่อที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นสืบเนื่องจากการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในการประชุมดังกล่าวมีผู้แทนจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ องค์กรวิชาชีพ สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) สมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา และอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น ในระหว่างการประชุมมีการอภิปรายถึงทิศทางของเนื้อหาและแหล่งข้อมูลที่ได้รับจากฝ่ายต่างๆ และปัญหาที่เกิดจากการผลิตซ้ำข้อมูลระหว่างสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ ตลอดจนการแข่งขันระหว่างสื่อกระแสหลักด้วยกันเองและอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการเรตติ้งหรือยอดปฏิสัมพันธ์ของผู้ชม ซึ่งอาจนำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน เนื้อหารุนแรง นอกจากนี้ ยังมีการแสดงความห่วงใยว่าการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ข่าวลวง และอาจสร้างความเกลียดชังและนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลาย ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนตั้งแต่สิทธิในร่างกายไปจนถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อีกทั้ง อารมณ์ ความเครียด และความโกรธสามารถแพร่กระจายติดต่อกันได้ ส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนในสังคม ทั้งนี้ มีผู้อภิปรายว่าสื่อกระแสหลักควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับอินฟลูเอนเซอร์ในการทำงานขณะที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่มีบทบาทในการกำกับดูแลกันเองของสื่อน่าจะจัดทำคู่มือให้คำแนะนำและทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนถึงแนวทางในการปฏิบัติและข้อควรระวังในการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความขัดแย้งบริเวณชายแดน อย่างไรก็ตาม ในการประชุมดังกล่าวมีการอภิปรายถึงองค์ประกอบของความมั่นคงของชาติ ซึ่งรวมถึงทางด้านการทูต ข้อมูลข่าวสาร การทหาร และเศรษฐกิจ ซึ่งในประเทศควรมีทิศทางที่มีเอกภาพ ควรมีการบูรณาการการสื่อสารจากหลายๆ ภาคส่วน อนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้ออกหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้รับใบอนุญาต 4 ฉบับด้วยกัน โดยมีเป้าหมายที่การนำเสนอข่าวสารที่สร้างความสามัคคี เกิดความมั่นคงภายในชาติและระหว่างประเทศ การนำเสนอเนื้อหาที่อยู่ภายใต้กฎหมาย กฎระเบียบและกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อสารมวลชน คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร และเคารพสิทธิมนุษยชน โดยขอให้สื่อมวลชนมีการคัดกรองเนื้อหารายการและใช้ความระมัดระวังในการเลือกใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง เนื้อหาและการแสดงความทัศนคติของผู้ดำเนินรายการไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ด้อยค่า ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างความเกลียดชัง หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม   * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * กสทช. * สื่อมวลชน
dlvr.it
'ตำรวจไซเบอร์-ก.ล.ต.' จับกุมผู้ต้องสงสัยให้บริการรับแลกเหรียญ Worldcoin ผิด กม.
'ตำรวจไซเบอร์-ก.ล.ต.' จับกุมผู้ต้องสงสัยให้บริการรับแลกเหรียญ Worldcoin ผิด กม.
'ตำรวจไซเบอร์-ก.ล.ต.' จับกุมผู้ต้องสงสัยให้บริการรับแลกเหรียญ Worldcoin ผิด กม. auser15 Sat, 2025-10-25 - 09:49 ตร.ไซเบอร์-สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปฏิบัติการ 109 จุดทั่วประเทศ จับเครือข่ายผู้รับแลกเหรียญ Worldcoin ผิด กม. หลังคนแห่สแกนม่านตา เพจตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.สอท.5 ร่วมกับ นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตร.ไซเบอร์ปฏิบัติการ 109 จุด ทั่วประเทศ ทลายธุรกิจเถื่อนรับแลกเหรียญ Worldcoin หลังคนแห่สแกนม่านตา สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ รวมถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมาย ซึ่งจากกรณีที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนว่ามีกลุ่มบุคคลเชิญชวนประชาชนทั่วไปให้เก็บสแกนข้อมูลชีวภาพ (ม่านตา) เพื่อแลกกับการได้รับแจกสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ต่อมา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อภิปรายแสดงข้อห่วงใยว่า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลชีวภาพ (ม่านตา) ดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งทางกรมการปกครองเองก็ได้ออกมาแจ้งเตือนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า “การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลม่านตาดังกล่าวนั้น ไม่ใช่การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง หรือส่วนราชการอื่นๆ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาสัมพันธ์ข้อมูลในท้องที่ สอดส่องการจัดกิจกรรมดังกล่าว อย่าให้เกิดการหลอกลวงประชาชน เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างที่ บช.สอท. วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ” จนนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.5 ได้ตรวจสอบพบว่า มีผู้ใช้บัญชี Facebook รายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า “รับแลกเหรียญเป็นเงินสด เชิญครับ สแกนหน้ายืนยันตัวตนเชิญครับ” พร้อมกับแนบภาพถ่ายแสดงบรรยากาศบริเวณจุดที่รับสแกนม่านตา ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากรอคิวภายใต้เต็นท์ที่จัดไว้บริเวณทางเดินด้านหน้า ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปลอมตัวลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ณ จุดรับสแกนม่านตาแลกเงิน และได้พบกับบุคคลรายหนึ่งที่มีพฤติกรรมเป็นนายหน้ารับแลกเหรียญ Worldcoin เป็นเงินสด จึงได้ส่งสายลับไปเข้าร่วมสแกนม่านตาดังกล่าว และนัดหมายกับนายหน้าเพื่อขอแลกเงินสดในวันถัดไป เนื่องจากระบบจะโอนเหรียญเข้ากระเป๋าผู้ใช้งานภายใน 24 ชั่วโมง วันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงส่งสายลับกลับไปยังจุดเดิมเพื่อแลกเปลี่ยนเหรียญตามที่นัดหมาย จากการตรวจสอบพบว่าเหรียญ Worldcoin จำนวน 30 WLD ได้เข้ากระเป๋าดิจิทัลในแอปพลิเคชันแล้ว นายหน้าคนดังกล่าวจึงกดโอนเหรียญไปยังกระเป๋าดิจิทัลของตนเองให้ พร้อมกับโอนเงินสดให้สายลับ จำนวน 900 บาท โดยคิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท ต่อ 1 WLD ซึ่งการที่คนทั่วไปมารับแลกเหรียญเป็นเงินสดดังกล่าว โดยมิได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถือว่าเข้าข่ายเป็นการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยมิได้รับอนุญาต ตาม พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบตัวนายหน้าคนดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งสามารถนำกำลังเข้าจับกุม นายกิตติ อายุ 45 ปี ในข้อหา “ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” เบื้องต้นเจ้าตัวปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากการจับกุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนนำมาสู่การรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้กระทำผิดลักษณะดังกล่าวเพิ่มเติม รวมทั้งออกหมายค้นพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ กระทั่งวันศุกร์ที่ 24 ต.ค.68 เวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 109 จุด ทั่วประเทศ โดยมีผลการปฏิบัติ ดังนี้ จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม จำนวน 1 ราย คือ นายสุทธิ อายุ 35 ปี จับกุมตัวได้บริเวณหลังปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สาขานวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. โดยดำเนินคดีในข้อหา “ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” จากพฤติการณ์รับซื้อเหรียญจากผู้ที่ผ่านการสแกนม่านตา เช่นเดียวกับผู้ต้องหารายแรก จากการสอบถามนายสุทธิ รับว่า ตนเองรับแลกเหรียญ WLD จำนวน 35 เหรียญ ในราคา 1,000 บาท เมื่อหัก 7% แล้ว จึงโอนเงินที่คงเหลือโอนให้ลูกค้า ประมาณ 930 บาท โดยผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าการกระทำดังกล่าวนั้น มีความผิดตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบตัวแอปพลิเคชันดังกล่าวรวมถึงบริษัทที่รับสแกนม่านตา เบื้องต้นยังไม่พบว่า มีการกระทำผิดเข้าข้อกฎหมายใด แต่การรับแลกเหรียณสกุลดิจิทัลเป็นเงินสดโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ถือว่าเป็นความผิดตาม พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ในการประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอัตลักษ์ดังกล่าว ว่าอาจมีการรั่วไหล หรืออาจถูกนำข้อมูลไปส่งต่อหรือขายต่อในภายหลัง จนเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ซึ่งตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีการละเมิดข้อกฎหมาย ก็จะเร่งดำเนินคดีตามกระบวนการต่อไป * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * Worldcoin * สแกนม่านตา * คริปโตเคอร์เรนซี
dlvr.it
มาตรฐานความงามผู้ชายเกาหลี จากหนวดเครากลายเป็น "หน้าเกลี้ยงเกลา"
มาตรฐานความงามผู้ชายเกาหลี จากหนวดเครากลายเป็น "หน้าเกลี้ยงเกลา"
มาตรฐานความงามผู้ชายเกาหลี จากหนวดเครากลายเป็น "หน้าเกลี้ยงเกลา" auser15 Sat, 2025-10-25 - 09:21 เมื่อการมีหน้าตาที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครากลายเป็นมาตรฐานความงามของผู้ชายเกาหลีใต้ในยุคปัจจุบัน จนกระทั่งมันกลายเป็น "เกณฑ์ปฏิบัติด้านสุนทรียะ" ทางรูปลักษณ์ ในระดับที่ทำให้นักบินสายการบินพาณิชย์ถูกสั่งพักงานเพราะไว้หนวด การเลเซอร์หนวดในผู้ชายกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งๆ ที่ยุคสมัยก่อนการไว้หนวดของชายเกาหลีถือเป็นเรื่องปกติมากกว่าการไร้หนวด อะไรที่ทำให้มาตรฐานความงามนี้เปลี่ยนไป? อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 คนของเกาหลีใต้ โกนหนวดเคราในงานกิจกรรมที่เน้นเรื่อง "การเมืองที่สะอาด" | ภาพจาก: JOONGANG ILBO ถ้าเรานึกถึงภาพของบอยแบนด์ดังๆ จากเกาหลีใต้ในยุคปัจจุบัน อาทิเช่นวง BTS หรือ Stray Kids เราก็จะนึกถึงสมาชิกวงที่เต็มไปด้วยชายหน้าตาเกลี้ยงเกลา ไร้หนวดเครา หนึ่งในศิลปินวงบอยแบนด์อย่าง ฮย็องวอน จากวง Monsta X สารภาพว่าเขาเคยต้องไปเข้าคอร์สเลเซอร์หนวดเคราหลายครั้งมาตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งแต่ละครั้งนั้นก็เจ็บจนร้องไห้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็บอกว่ารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้มา นั่นคือผิวเนียนไร้ขน เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า หน้าตาที่เกลี้ยงเกลาไม่ใช่แค่สิ่งที่จำเป็นสำหรับดาราชายชาวเกาหลีเท่านั้น แต่ยังกลายมาเป็น "เกณฑ์ปฏิบัติด้านสุนทรียะความงาม" ทางรูปลักษณ์ของสังคมเกาหลี มีเหตุการณ์เมื่อปี 2557 ที่นักบินชาวเกาหลีจากสายการบินพาณิชย์ เอเชียนา แอร์ไลน์ ถูกสั่งให้พักงานเพราะเขามีหนวดเครา บริษัทกล่าวหาว่าเขา "ไม่สะอาดพอ" ที่จะรับใช้ลูกค้า ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ไปเจอหน้าลูกค้าแต่แค่อยู่ในที่นั่งคนขับก็ตาม จนกระทั่งราว 3 ปีถัดมาศาลสูงกรุงโซลถึงได้ตัดสินว่านโยบายการบังคับให้ต้องโกนหนวดถือเป็นนโยบายที่ "เลือกปฏิบัติ" เพราะนักบินเกาหลีถูกสั่งให้ต้องโกนหนวด แต่นักบินต่างชาติกลับอนุญาตให้ไว้หนวดเคราได้ในฐานะของการเคารพต่อวัฒนธรรมของพวกเขา เหตุไฉนการไว้หนวดเคราถึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าผิดปกติในสังคมเกาหลียุคปัจจุบันไปแล้ว ในทุกวันนี้แทบจะไม่พบเห็นผู้ชายที่ไว้หนวดเคราตามท้องถนนของเกาหลีเลย ในทางตรงกันข้าม ยุคสมัยก่อนของเกาหลีกลับเต็มไปด้วยผู้ชายที่มีหนวดและไว้เคราจากคางของตัวเองรวมถึงมีการมัดผมเป็นมวยไว้บนหัว จนทำให้ผู้ชายที่ไม่มีหนวดเคราเสียอีกที่ดูแปลกไปจากคนอื่น แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ในปัจจุบัน กระแสความงามในแบบผู้ชายเกาหลีถึงกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ? ในยุคก่อนสมัยราชวงศ์โชซ็อน (ก่อนปี พ.ศ.1935 ถึง พ.ศ.2453) หนวดเคราเคยถูกมองว่าเป็นแบบอย่างของความเป็นชายมาก่อน นักวิชาการยุคคริสตทศวรรษที่ 19 ชื่อ อีคิวคย็อง ระบุไว้ในสารานุกรมว่า "เมื่อใดก็ตามที่จะมีการชื่นชมรูปลักษณ์ของบุรุษ การชื่นชมหนวดเคราควรจะมาก่อน" นอกจากนี้ยังมีงานวรรณกรรมที่พูดถึงการให้ความสำคัญกับหนวดเคราในผู้ชายด้วย เช่นในนิยายของปาร์กดูแซ ที่น่าจะเขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2221 ตัวเอกชายถูกล้อเลียนจากผู้พบเห็นว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานเพราะไม่มีหนวดเครา พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลีระบุว่า ในสมัยราชวงศ์โชซอน เกาหลีมองว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่วัดว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงานจะถูกมองว่ายังไม่โต และในบริบทแบบนี้เอง ผู้ชายที่ไม่มีหนวดก็จะถูกมองว่าไม่สามารถแต่งงานได้และไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จางซุกมัน นักประวัติศาสตร์จากสถาบันเพื่อศาสนาและวัฒนธรรมเกาหลี ระบุว่า ผู้คนในยุคสมัยโชซอน ซึ่งเป็นยุคสมัยก่อนการปรับให้เป็นสมัยใหม่นั้น จะปฏิบัติกับผมและหนวดเคราราวกับว่ามันเป็น "ของที่ต้องรักษาไว้" เพราะในยุคนั้นมีอิทธิพลจากค่านิยมแบบปรัชญาขงจื้อ ที่มองร่างกายของคนๆ หนึ่งว่าเป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อแม่ของตัวเอง พวกเขาจึงต้องไม่ "ทำร้ายร่ายกายตัวเอง" ซึ่งรวมถึงการตัดผมที่ถูกมองว่าเป็น "สิ่งที่พ่อแม่ให้มา" ด้วย สัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ แต่พอถึงปี 2438 เกาหลีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่ เรื่องของหนวดและเคราก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ตกค้างจากในอดีต การโกนหนวดเคราจึงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่ จางระบุว่า เมื่อก่อนหนวดเคราในเกาหลีเป็นสัญลักษณ์ของความมีอภิสิทธิในสังคมสำหรับชายโตเต็มวัย แต่ต่อมา จักรพรรดิ์โคจงแห่งโชซอนและเจ้าฟ้าชายได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ยุคสมัยใหม่ด้วยการโกนหนวดเครา เจ้าหน้าที่ทางการได้ปฏิบัติตามหลังจากนั้น และต่อมาก็มีการออกพระราชกฤษฎีการในเรื่องนี้บังคับใช้กับประชาชน ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นจะยังมีคนที่ยึดถือหลักขงจื๊อรู้สึกต่อต้านคำสั่งนี้ แต่ก็จำต้องปฏิบัติตามเพราะมีพระราชกฤษฎีกามาจากในวัง ทำให้มีชายขาวเกาหลีเริ่มโกนหนวดเครากันมากขึ้น จนกระทั่งในยุคสมัยนั้น ร้านตัดผมกลายเป็นเสมือนพื้นที่จัดการหน้าตาและทรงผมของผู้ชายให้กลายเป็นยุคสมัยใหม่ ชายเกาหลีหันมาใช้วิธีเลเซอร์ แทนการโกนหนวดอย่างเดียว ตัดภาพมาที่ยุคสมัยปัจจุบัน เราก็จะเห็นว่าชายชาวเกาหลีต่างก็พากันทำให้หน้าของตัวเองเกลี้ยงเกลาหมดจด ช่างตัดผมผู้ชำนาญการอย่าง คิมกย็องชุน ผู้มีประสบการณ์มากว่า 35 ปี เปิดเผยว่าชายชาวเกาหลีมีลักษณะทางกายภาพที่ทำให้ปลูกหนวดเคราได้ยากกว่าด้วยเมื่อเทียบกับชาวตะวันตก ผู้ชายชาวเกาหลีบางคนมีทัศนคติไม่ชอบหนวดเคราไปแล้ว เช่น บล็อกเกอร์ชื่อ Goraebab บอกว่าเขาไม่เคยชื่นชมภาพลักษณ์ "ความเป็นชายแบบโผงผาง" เลย ซึ่งเขามองว่าหนวดเคราจะทำให้ดูเป็นผู้ชายแบบนั้น และผู้ชายบางคนที่ไม่ได้ดารา ก็ไปทำเลเซอร์แบบเดียวกับดาราด้วย เช่น ซากง จงฮวาน ชายอายุ 34 ปีชาวเกาหลีบอกว่าเขาต้องไปเลเซอร์กำจัดหนวดเครา 15 ครั้ง เพราะเวลาโกนเฉยๆ จะทำให้เขาเห็นรอยครึ้มเขียว อยู่ซึ่งทำให้เขาดูไม่ดีเลยเวลาจะไปออกเดท การทำเลเซอร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ชายชาวเกาหลีนิยมมากกว่าแค่โกนหนวดไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าวัฒนธรรมที่ลำเอียงเข้าข้างลุุคคลีนๆ ทำให้เป็นเช่นนั้นด้วย มีผู้ชายบางคนเช่น Shin บอกว่าเขาจะยังคงทำเลเซอร์ต่อไปแม้จะทำมาแล้ว 17 ครั้ง เพราะมันทำให้เขาดูคลีน ไม่มีตอเขียวหรือรอบครึ้มๆ จากการโกนหนวดอย่างเดียว หรือจะเริ่มมีคนสวนกระแสแล้ว ถึงแม้ว่าสังคมเกาหลีจะกล้อมเกลาให้คนชื่นชมใบหน้าเกลี้ยงเกลามากกว่า แต่ก็มีชายเกาหลีบางคนที่มองว่าหนวดเคราก็ดูมีสไตล์ได้ หนึ่งในนั้นคือ จุงบย็องฮุน อายุ 38 ปี เขาไว้หนวดเครามาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว แล้วก็รู้สึกพึงพอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเอง เขาถึงขั้นต้องไปหาน้ำยาเร่งสร้างเส้นขนจากอเมริกามาใช้ จนทำให้มีทั้งหนวดเคราขึ้นตามใบหน้า คาง ข้างใบหู จุงบอกว่าชายที่มีหนวดเคราเป็น "ภาพลักษณ์แบบเป็นชายที่เขารู้สึกชื่นชม" ชาวเกาหลีอีกคนหนึ่งที่ชื่นชมหนวดเคราคือช่างทำผมและช่างตัดแต่งหนวดเคราชื่อสมมุติว่า Santa โดยบอกว่าเขาได้สร้าง "สไตล์เฉพาะของตัวเอง" มาเป็นเวลา 14 ปี แล้ว เว้นแต่ช่วงรับราชการทหารและช่วงหางาน เขาบอกว่าเคยถูกชาวเกาหลีด้วยกันล้อเรื่องหนวดเครา กล่าวหาว่าเป็นต่างชาติ มีคนไม่ยอมนั่งใกล้เขา หรือมีคนที่สั่งให้เขาต้องโกนหนวดเพื่อไปออกเดท Santa บอกว่าในเกาหลีใต้ก็เริ่มมีคนที่ไว้หนวดมากขึ้นเหมือนกัน เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากสื่อต่างชาติแล้วก็ทำตามเพราะเรื่องสุนทรียะทางรูปลักษณ์ เรียบเรียงจาก [WHY] Where did all the beards go? Korean men's style and the fall of facial hair., Korea JoongAng Daily, 18-10-2025   * รายงานพิเศษ * วัฒนธรรม * ต่างประเทศ * เกาหลีใต้
dlvr.it
ประกาศสำนักพระราชวัง 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สวรรคต
ประกาศสำนักพระราชวัง 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สวรรคต
ประกาศสำนักพระราชวัง 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สวรรคต ภาพปก: แถลงการณ์สำนักพระราชวัง (ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก The Standard) XmasUser Sat, 2025-10-25 - 02:23 หลายสื่อรายงาน สำนักพระราชวังเผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อ 24 ต.ค. 2568 เวลา 21.21 น. ด้วยพระชนมายุ 93 พรรษา จากภาวะประชวรติดเชื้อในกระแสพระโลหิต    25 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก ข่าวสดออนไลน์ เพจเฟซบุ๊ก The Standard เพจเฟซบุ๊กประชาชาติ เว็บไซต์เดลินิวส์ และช่องสามพลัส รายงานวันนี้ (25 ต.ค.) เมื่อเวลา 02.03 น. สำนักพระราชวัง เผยแพร่แถลงการณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคตแล้วเมื่อ 24 ต.ค. 2568 เวลา 21.21 น. ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จากอาการประชวรติดเชื้อในกระแสพระโลหิต รายละเอียดในเอกสารที่ถูกนำมาโพสต์ตามสื่อต่างๆ ระบุว่า ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี้พันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่างๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่างๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป  * ข่าว * การเมือง * สถาบันพระมหากษัตริย์ * พระพันปีหลวง * พระพันปีหลวงสวรรคต * โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ * สำนักพระราชวัง
dlvr.it
รู้จักสูตรบำนาญใหม่ สปส. 'ส่งน้อยได้น้อย ส่งเยอะได้เยอะ' มีแผนชดเชยคนได้น้อย
รู้จักสูตรบำนาญใหม่ สปส. 'ส่งน้อยได้น้อย ส่งเยอะได้เยอะ' มีแผนชดเชยคนได้น้อย
รู้จักสูตรบำนาญใหม่ สปส. 'ส่งน้อยได้น้อย ส่งเยอะได้เยอะ' มีแผนชดเชยคนได้น้อย รายงาน: ณัฐพล เมฆโสภณ  XmasUser Fri, 2025-10-24 - 19:29 เมื่อ 21 ต.ค. 2568 สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้เปิดเผยผลการทำประชาพิจารณ์สูตรคำนวณบำนาญสูตรใหม่ หรือสูตร CARE (Career Average Revalued Earning) ของผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 จำโดยสำนักงานประกันสังคม ระหว่างวันที่ 1 - 17 ต.ค. 2568 ก็ต้องบอกว่าสูตรคำนวณบำนาญที่เสนอฝ่ายคณิตศาสตร์ประกันสังคม ได้ผลตอบรับดีเป็นอย่างมาก โดยภาพรวมผลสำรวจประชาพิจารณ์ มีผู้ตอบแบบสอบถามทุกช่องทาง (ระบบกฎหมายกลาง, LINE, หน่วยบริการ, และที่ประชุมประชาพิจารณ์) จำนวนทั้งสิ้น 102,010 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ที่เห็นด้วย 79,498 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 77.93 ผู้ที่ไม่เห็นด้วย 22,512 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 22.07 ขณะที่ บุปผา เรืองสุด เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำผลการลงประชาพิจารณ์เข้าสู่การประชุมอนุกรรมการฯ และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป ในระหว่างที่เรากำลังรอให้สูตรคำนวณบำนาญสูตรใหม่ประกาศใช้ ประชาไทช่วยสรุปสาระสำคัญของสูตรคำนวณบำนาญใหม่ของสำนักงานประกันสังคม แตกต่างจากของเดิมอย่างไร และต่อเนื่องจากประเด็นที่มีคนถกเถียงกันมาก สรุปสูตรบำนาญใหม่ทำให้คนได้เงินน้อยลงจริงหรือไม่ และถ้าน้อยลงทางสำนักงานประกันสังคมจะมีแผนช่วยเหลือต่อคนที่ได้รับผลกระทบอย่างไร ช่วงรู้ไว้ใช่ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 คือลูกจ้างในสถานประกอบการ เช่น พนักงานบริษัท ลูกจ้างโรงงาน แรงงานข้ามชาติ และอื่นๆ โดยลูกจ้าง-นายจ้าง จะต้องจ่ายสมทบฝ่ายละ 5% ของเงินเดือน โดยมีเพดานไม่เกิน 15,000 บาท หรือจ่ายสมทบสูงสุด 750 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ประกันตน มาตรา 39 ก็คือคนที่เคยอยู่ในประกันสังคม ม.33 แต่เกิดจุดเปลี่ยนตกงาน หรือไม่สามารถหางานใหม่ได้ แต่ยังต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมของตัวเอง สามารถจ่ายเงินเข้าประกันสังคม มาตรา 39 ตามความสมัครใจ สำหรับมาตรา 39 มีเงื่อนไขคือต้องจ่ายสมทบ ม.33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และยื่นสมัครเข้า ม.39 ภายใน 6 เดือนหลังตกงาน โดยจ่ายเดือนละ 432 บาทอัตราคงที่ ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม เมื่อ ส.ค. 2568 เผยว่า มีผู้ประกันตน มาตรา 33 จำนวนประมาณ 12 ล้านราย และมาตรา 39 จำนวน 1.6 ล้านราย เงื่อนไขของผู้ที่ได้เงินบำนาญชราภาพของประกันสังคม * ต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ * จ่ายสมทบไม่ต่ำกว่า 180 เดือน (หรือ 15 ปี) * สิ้ดสุดการเป็นสมาชิกภาพผู้ประกันตน (ไม่ว่าจะโดยการลาออก / สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน)   ทำไมต้องเปลี่ยนสูตรบำนาญใหม่ ทางสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า สูตรคำนวณเก่าซึ่งเราใช้มาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะสะดวกต่อการคำนวณ เพราะคิดจากอัตราค่าจ้างในการส่งสมทบช่วง 60 เดือนสุดท้าย (5 ปีสุดท้าย) แต่กลับพบว่าอาจจะเป็นสูตรที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตน และกองทุนประกันสังคม * 'คนจ่ายเยอะ กลับได้บำนาญน้อย' ปัญหาหลักของสูตรคำนวณบำนาญแบบเดิมมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. ‘คนจ่ายเยอะได้เงินบำนาญน้อย’ หากเราคิดบำนาญจากการจ่ายสมทบให้ 5 ปีหลังสุด มันจะไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่จ่ายสมทบในระดับสูงมานาน แต่ถูกเลิกจ้าง แล้วต้องมาจ่ายสมทบ ม.39 ในช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุ ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับบำนาญน้อยลงตามไปด้วย ยกตัวอย่าง นาย A เป็นพนักงานบริษัท ส่งสมทบในระดับสูงตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แต่ 5 ปีก่อนเกษียณ นาย A ถูกเลย์ออฟ เลยหันไปทำอาชีพอิสระ ‘ไรเดอร์’ เพื่อประทังชีวิต และไม่สามารถหางานประจำได้ เพื่อรักษาสิทธิบำนาญของประกันสังคม นาย A ตัดสินใจจ่ายสมทบ ม. 39 จำนวน 432 บาท เป็นเวลา 5 ปีที่เหลือ ดังนั้น หากคิดตามสูตรบำนาญเดิมจะคิดแค่เฉพาะในช่วง 5 ปีสุดท้ายที่นาย A ตกไปอยู่ในมาตรา 39 และทำให้นาย A ได้เงินบำนาญลดลงตามไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง นาย A จ่ายสมทบให้กับกองทุนฯ เป็นอัตราที่สูงมาโดยตลอดก่อนหน้านี้  * 'จ่ายน้อย แต่ได้บำนาญสูง กองทุนถูกเอาเปรียบ' อีกหนึ่งในปัญหาที่พบคือการที่บริษัทหรือสถานประกอบการบางแห่งจงใจแจ้งเงินเดือนของพนักงานในระดับต่ำกว่าความจริง แต่ในช่วงก่อนเกษียณกลับมีการส่งสมทบในระดับสูงแบบก้าวกระโดด เพื่อให้ได้รับบำนาญในระดับสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ประกันตนจึงได้รับเงินบำนาญระดับสูง แม้ว่าจะจ่ายสมทบระดับต่ำมานาน และทำให้กองทุนฯ ขาดทุน ด้วยปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศกลุ่ม OECD ประเทศในยุโรป และอื่นๆ ไม่ได้ใช้สูตรคำนวณค่าเฉลี่ยอัตราค่าจ้างในช่วงท้ายก่อนการเกษียณแล้ว และใช้สูตรคำนวณค่าเฉลี่ยตลอดการส่งสมทบกองทุน หรือที่เรียกว่าสูตร "CARE" ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) ฝ่ายผู้ประกันตน เสริมว่า ภาพรวมสถานการณ์การจ่ายบำนาญ ปัจจุบันมีผู้รับบำนาญทั้งหมด 847,050 คน ได้บำนาญเฉลี่ย 2,949 บาทต่อเดือน และใช้งบประมาณราว 27,000 ล้านบาท ษัษฐรัมย์ ระบุว่า สมมติฐานตอนเราออกแบบเงินบำนาญชราภาพแบบเดิม เรามักมีภาพในหัวว่าคนทำงานจะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นแบบ ‘ขั้นบันได’ อย่างต่อเนื่องทุกปี ดังนั้น การคำนวณเงินในช่วง 5 ปีสุดท้ายจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์สูงสุด แต่หลังจากเราใช้สูตรบำนาญมาแล้ว 15 ปี กลับพบว่าเมื่อเอาสูตรคำนวณระหว่างสูตรเก่า และสูตรใหม่ มาเทียบกัน พบว่าผู้ประกันตน 570,000 คนได้รับบำนาญอย่างไม่เป็นธรรม หรือได้เงินบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย ขณะเดียวกัน มีเพียง 200,000 กว่าคนที่ได้รับเงินบำนาญที่เหมาะสม นอกจากนี้ การใช้สูตรคำนวณใหม่ พบว่าในจำนวน 8 แสนกว่าคน ได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 270 บาท/คน/เดือน ขณะที่เมื่อใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ หรือสูตร ‘CARE’ ในอีก 10 ปีข้างหน้า สปส.จะมีผู้เกษียณอายุประมาณ 3 ล้านคน และใน 3 ล้านคนจะมีคนได้รับบำนาญเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7-8% ต่อคน อันนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้า เริ่มแนวคิดการเปลี่ยนสูตรบำนาญ ด้านณภูมิ สุวรรณภูมิ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เสริมข้อมูลด้วยว่ามีคนเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากการทำงานในช่วงแรก แต่ 2 ใน 3 ไม่ได้มีเงินเดือนมากขึ้นกว่าในช่วงแรก แบบเก่า VS แบบใหม่ แตกต่างอย่างไร โดยง่าย สูตรคำนวณบำนาญประกันสังคมเดิม คิดอัตราค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่สูตรบำนาญใหม่ หรือสูตร “CARE” จะคำนวณจากอัตราค่าจ้างเฉลี่ยตลอดการส่งสมทบตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย พร้อมคำนวณเศษเดือน นอกจากนี้ บำนาญสูตร CARE จะมีการปรับสูตรคำนวณบำนาญในแต่ละปี เพื่อให้สอดคล้องกับค่าเงิน สภาพเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแตกต่างจากสูตรบำนาญสูตรเดิมที่จะใช้ตัวเลขคงที่ ไม่มีการปรับเปลี่ยน โดยปกติแล้วสูตรคำนวณบำนาญทั่วโลกจะเป็นรูปแบบนี้ อัตราบำนาญ * ฐานค่าจ้าง โดยอัตราบำนาญ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งสมทบ อัตราบำนาญ สูตรเดิม คือ 20% + 1.5% ต่อปีตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป (Ex. ทำงานมา 17 ปี อัตราบำนาญจะเท่ากับ 23%) สูตรใหม่ คือ 20% + 0.125% ต่อเดือนที่สมทบมากกว่า 180 เดือน (หรือรวมแล้ว 1.5% ต่อปี เท่ากับสูตรเดิม) โดยสูตรใหม่ใช้เป็น ‘เดือน’ เพราะจะนับเศษเดือนด้วยกรณีที่ไม่ครบปี เช่น ทำงานมา 17 ปี กับอีก 5 เดือน สูตรใหม่จะนับรวมจำนวนเดือนให้ด้วย ซึ่งต่างจากสูตรเก่าที่จะปัดลงเป็น 17 ปี ฐานค่าจ้าง สูตรเดิม = ใช้ฐานค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้ายที่ส่งสมทบ สูตรใหม่ = คำนวณจากค่าจ้างทุกเดือนที่ส่งสมทบ นอกจากนี้ สปส.จะมีการปรับค่าเงินในอดีตให้เป็นปัจจุบันด้วย เช่น เมื่อ 20 ปีที่แล้วผู้ประกันตนเริ่มจ่ายสมทบค่าจ้างจำนวน 6,000 บาท แต่เนื่องด้วยค่าเงินในอดีตกับปัจจุบันไม่เท่ากัน สปส.ก็จะนำไปคำนวณว่า 6,000 บาทเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เท่ากับค่าเงินเท่าไรในปัจจุบัน ภาพสไลด์จากอาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี จากนั้น ก็เอาค่าเฉลี่ยที่ปรับมาเป็นปัจจุบันไปคำนวณเป็นบำนาญอีกทีหนึ่ง ดังนั้น ผู้ประกันตนจะไม่ต้องกังวลว่า เมื่อก่อนเราจ่ายน้อยมาก แสดงว่าเราอาจจะได้บำนาญน้อยลงเยอะในสูตรคำนวณสูตรใหม่ ภาพสไลด์จากอาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี สำหรับคนที่ต้องการดูรายละเอียดการคำนวณค่าจ้างของตัวเอง สามารถคลิกได้ที่ลิงก์นี้ https://sso.thaith.ai/care/ หมายเหตุ : สูตร CARE ที่ใช้คำนวณในเว็บไซต์จะเป็นสูตรคำนวณบำนาญเฉพาะของปี 2568 เท่านั้น ถ้ากรณีที่ผู้ทดลองคำนวณบำนาญจะเกษียณสมมติอีก 10 ปีข้างหน้า สูตรคำนวณตรงนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสูตร CARE จะมีการปรับสูตรทุกปี เพื่อทำให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ค่าเงิน และอัตราเงินเฟ้อ ตามที่กล่าวข้างต้น   ใครได้ประโยชน์บ้าง (?) มีคนได้เงินน้อยลงหรือไม่ คนที่ได้รับผลกระทบจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือคนที่ได้บำนาญเพิ่มขึ้น คนที่ได้บำนาญใกล้เคียงเท่าเดิม และมีคนที่ได้บำนาญลดลงเล็กน้อย คนที่ได้รับบำนาญเยอะขึ้น * ผู้ประกันตน ม.33 ที่จ่ายสมทบในระดับสูงมานาน แต่ในช่วงก่อนเกษียณ เกิดตกงานและรักษาสิทธิของตัวเองในมาตรา 39 ในช่วงก่อนเกษียณ คนกลุ่มนี้จะได้เงินเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง จากเว็บไซต์คำนวณบำนาญ สูตร CARE สมมติ ผู้ประกันตน มาตรา 33 ส่งสมทบตั้งแต่ปี 2541 โดยค่าจ้างเริ่มต้น 5,000 บาท และปรับเพิ่มค่าจ้างปีละ 0.3% จนกระทั่ง ธ.ค. 2563 เปลี่ยนมาส่งมาตรา 39 เนื่องจากตกงาน และไปประกอบอาชีพอิสระ จนกระทั่งเกษียณในปี 2568 * สูตรเก่า ได้รับบำนาญเดือนละ 1,958 บาท * ขณะที่สูตร CARE ได้บำนาญเพิ่มเป็นเดือนละ 3,599 บาท * ผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่จ่ายสมทบระดับสูงมานาน แต่เกิดเหตุในช่วงก่อนเกษียณ ได้รับเงินเดือนน้อยลงมาก หรือเท่ากับฐานค่าแรงขั้นต่ำ คนที่ได้ใกล้เคียงหรือเท่าเดิม * กลุ่มผู้ประกันตน ม.33 ที่จ่ายในระดับสูงตั้งแต่ต้นจนถึงวัยเกษียณ * หรือผู้ประกันตน ม.33 ที่เงินเดือนค่อยๆ เพิ่มในแต่ละปี และมาจ่ายสมทบเต็มเพดานค่าจ้าง 15,000 บาทช่วงปลาย อย่างไรก็ตาม ก็มีบางกรณีที่มีคนที่ได้ลดลงเล็กน้อย * ผู้ประกันตนที่เงินเดือนในอดีตต่ำ และต่ำมานานเป็น 15 ปี คืออยู่ระหว่าง 4,000-5,000 บาท แต่ระยะเวลา 5 ปีสุดท้ายได้ค่าจ้างแบบก้าวกระโดด 15,000 บาท ประวัติผู้ประกันตน มาตรา 33 จ่ายสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธ.ค. 2541 ค่าจ้างเริ่มต้น 6,500 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% โดยจะเกษียณอายุ ธ.ค. 2570 รวมส่งเงินสมทบ 348 งวด * บำนาญสูตรเก่า ได้รับเงินเดือนละ 6,536 บาท * บำนาญสูตรใหม่ ได้รับเงินเดือนละ 6,138 บาท (ลดลง 398 บาท) ทั้งนี้ บำนาญสูตร CARE ไม่ได้ทำให้เราได้บำนาญเพิ่มขึ้นหรือลดบำนาญ แต่เป็นการใช้หลักการคำนวณที่เป็นธรรมตามหลักสากล ส่วนผู้ประกันตนจะได้บำนาญเยอะขึ้นหรือน้อยขึ้นอยู่กับการส่งสมทบของผู้ประกันตน ถ้าได้บำนาญน้อยลง สปส. ช่วยอย่างไร หนึ่งในประเด็นที่มีคนถกเถียง และแสดงความไม่พอใจก็คือการใช้สูตรคำนวณใหม่ หรือสูตร CARE อาจจะมีมาตรา 33 บางกลุ่มได้เงินลดลงเล็กน้อย ในเรื่องนี้ทางสำนักงานประกันสังคมได้มีแผนที่จะชดเชยให้กับผู้ประกันตนเป็นเวลา 5 ปี เฉพาะกรณีที่ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญน้อยลงเมื่อเทียบกับสูตรคำนวณสูตรเก่า โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้  * หากผู้ที่เกษียณภายในปีแรกที่มีการปรับสูตรบำนาญใหม่ จะชดเชยส่วนต่างให้ 100% * ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 ชดเชย 80% * ผู้ที่เกษียณปีที่ 3 ชดเชย 60% * ผู้ที่เกษียณปีที่ 4 ชดเชย 40% * ผู้ที่เกษียณปีที่ 5 ชดเชย 20% * เกิน 5 ปี ไม่มีการชดเชยส่วนต่างให้ ยกตัวอย่าง ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 หลังออกกฎหมาย หากคำนวณสูตรเดิมได้ 5,000 บาท แต่สูตรใหม่ได้ 4,000 บาท (ลดลง 1,000 บาท) จะได้ชดเชย 800 บาท รวมได้บำนาญ 4,800 บาท และ 'คนที่ได้ชดเชย จะเป็นการชดเชยทุกเดือนตลอดชีวิต' คนที่ได้รับบำนาญอยู่แล้วจะไม่ถูกปรับลด นอกจากมาตรการชดเชยข้างต้นแล้ว ผู้ประกันตนที่ได้รับบำนาญมาแล้วก่อนหน้านี้จะไม่ได้ถูกปรับลดลง กล่าวคือผู้ประกันตนที่ได้รับบำนาญก่อนที่จะมีการใช้สูตร CARE หากใช้สูตร CARE และคำนวณแล้ว พบว่าได้เงินลดลง เงินบำนาญของผู้ประกันตนจะยังคงได้รับเท่าเดิม ไม่มีการหักออกตามการคำนวณสูตรใหม่ ขณะเดียวกัน หากใช้สูตร CARE แล้วได้เงินเพิ่มขึ้น เงินบำนาญของผู้ประกันตนจะได้เพิ่มขึ้นไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพ ผู้ประกันตน A ได้รับบำนาญมาก่อนหน้านี้ในปี 2565-2568 อยู่ที่ 3,000 บาทต่อเดือน แต่หลังการใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ พบว่าผู้ประกันตน A ได้เงินลดลงที่ 2,800 บาท ดังนั้น ผู้ประกันตน A จะยังคงได้รับเงินเท่าเดิมคือ 3,000 บาท ไม่มีการหักเงินในกรณีที่สูตรคำนวณบำนาญใหม่คำนวณแล้วทำให้ได้เงินลดลง กรณีต่อมา ผู้ประกันตน B ได้บำนาญช่วงปี 2565-2568 อยู่ที่ 3,000 บาทต่อเดือน แต่หลังการใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่ในปี 2569 พบว่าผู้ประกันตน B ได้เงินเยอะขึ้นเป็น 3,400 บาท ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ผู้ประกันตน B จะได้รับบำนาญ 3,400 บาทต่อเดือน ทำไมไม่ชดเชยให้คนที่เกษียณหลัง 5 ปี ณภูมิ สุวรรณภูมิ คณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม และเป็นผู้เสนอสูตรบำนาญใหม่ ชี้แจงว่า การชดเชยทำในระยะสั้นเท่านั้นเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะเกษียณเร็วๆ นี้ เพราะว่าคนที่ใกล้เกษียณเขาก็วางแผนเงินไว้แล้วว่าเขาจะได้เงินบำนาญเอาไปใช้อะไรบ้าง เมื่อสูตรบำนาญใหม่ทำให้ผู้ประกันตนได้เงินลดลง ก็จะกระทบต่อแผนการใช้ชีวิตของเขา ดังนั้น ทาง สปส.เลยมีการจ่ายชดเชยให้ ณภูมิ สุวรรณภูมิ (ที่มา: ไลฟ์สด สำนักงานประกันสังคม เมื่อ 10 ต.ค. 2568) คำถามว่าขยายระยะเวลาจ่ายชดเชยเป็น 5 ปีขึ้นไปได้หรือไม่ ณภูมิ อธิบายว่า การจ่ายชดเชยระยะยาวมีผลทำให้กองทุนต้องจ่ายเงินมากขึ้น คำถามสำคัญก็คือกองทุนฯ จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าชดเชยเหล่านี้ ณภูมิ อธิบายว่า เบื้องต้น คนที่เกษียณอายุไปแล้วจะไม่ได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนอีกแล้วเพราะว่าเกษียณ ทำให้ภาระของผู้ที่จะมาจ่ายค่าชดเชยดังกล่าวจะเป็นผู้ประกันตนปัจจุบัน และในอนาคต ดังนั้น ก็ต้องถามผู้ประกันตนปัจจุบันด้วยว่าอยากจะขยายเวลาชดเชยในส่วนนี้หรือไม่ มีผู้ที่สงสัยว่า เราสามารถใช้สูตรคำนวณบำนาญเก่าและใหม่พร้อมกันได้หรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกันตนได้มีทางเลือก ถ้าใช้สูตรไหนแล้วได้เงินเยอะ ก็เลือกใช้สูตรนั้น ฝ่ายคณิตศาสตร์ประกันภัย อธิบายเรื่องนี้ว่า “มันไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาสูตรที่เป็นธรรมมากขึ้น แต่คือการเพิ่มสิทธิประโยชน์ คือมี 2 สูตร สูตรไหนให้เงินเยอะขึ้น ก็ใช้สูตรนั้น คำถามคือใครจ่าย คนได้ประโยชน์คือคนรับบำนาญ แต่ว่าเมื่อมีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นคือต้องมีคนจ่าย กองทุนฯ จ่ายก็จริง แต่เงินของกองทุนฯ ก็มาจากคนที่จ่ายเงินสมทบอีกที …โดย 6-7% ของกองทุนชราภาพ มาจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล "ถ้าทำกันแบบเราแคร์ทุกคน คือทุกคนที่ได้รับบำนาญ มันกลายเป็นเรื่องของการเพิ่มสิทธิ์ มันต้องตามมาด้วยว่าใครจ่าย ซึ่งถ้าพวกคุณในห้องนี้บอกว่ายอมจ่ายเพิ่ม ก็ทำได้ ก็เป็นข้อตกลงกันว่าสวัสดิการอยากปรับเป็นสูตรที่ดีขึ้น มีสองสูตร เลือกสูตรที่ได้เงินเยอะกว่า และเราอาจจะมาคุยกันว่าจะเพิ่มอัตราเงินสมทบเท่าไร ขยายอายุเกษียณ หรืออื่นๆ แต่เราตกลงกันว่าไม่อยากทำอย่างนั้น เราอยากทำการชดเชยแค่ช่วงเปลี่ยนผ่าน และไม่กระทบคนรุ่นหลัง" ณภูมิ กล่าว เพิ่มบำนาญ เพิ่มศรัทธา การพัฒนาสิทธิประโยชน์ของ สปส. ในมุมมองของ ษัษฐรัมย์ ยังมองด้วยว่า เป็นการเพิ่มศรัทธา และจะทำให้มีคนอยากเข้าระบบประกันสังคมมากยิ่งขึ้น “สูตรนี้จะทำให้คนมีความไว้ใจต่อการส่งประกันสังคมมากขึ้น ถ้าทุกคนดูในโลกออนไลน์จะมีคลิปที่สอนว่า ถ้าออกจากงาน อย่าส่งมาตรา 39 เพราะคือช่องโหว่ เพราะถ้าส่งมาตรา 39 เงิน (บำนาญ) จะน้อยลงทันที นั่นหมายความว่าเรากำลังออกแบบสูตร (เดิม) ไม่ให้คนมาส่งมาตรา 39 ทั้งที่การส่งมาตรา 39 จะทำให้คุณได้สิทธิประโยชน์มากขึ้นมากกว่าแค่เรื่องเงินบำนาญ "ดังนั้นถ้าเราปรับสิทธิประโยชน์บำนาญจะทำให้คนส่งมาตรา 39 เพิ่มขึ้น เมื่อเงินไหลเข้าประกันสังคม ก็จะทำให้เราวางแผนกลไกเรื่องของสิทธิประโยชน์ในอนาคตได้" ษัษฐรัมย์ กล่าว กระทบเสถียรภาพกองทุนฯ หรือไม่ ก่อนหน้านี้มีคำถามด้วยว่าเมื่อมีการจ่ายเงินบำนาญเพิ่มขึ้น แสดงว่าจะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพกองทุนด้วยหรือไม่ ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า การสูตรบำนาญใหม่ช่วง 10 ปีแรกจะอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท จากที่ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีจำนวนเงิน 2.6 ล้านล้านบาท ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี เมื่อ 10 ต.ค. 2568 อย่างไรก็ตาม หลังจาก 10 ปีเป็นต้นมา เงินที่ใช้เพิ่มขึ้นจะเฉลี่ยลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียง 0 บาท เนื่องจากผู้ประกันตนที่รับบำนาญอยู่แล้วจะมีจำนวนลดลง เพราะเสียชีวิต ทั้งนี้ ษัษฐรัมย์ กล่าวว่าเงินจำนวน 170,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นมาในช่วง 10 ปีหลังใช้สูตรใหม่ จะยังไม่ได้มีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับงบประมาณสิทธิประโยชน์เรื่องเงินสงเคราะห์บุตร แต่เงินที่จ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีนี้กลับช่วยเหลือคนได้จำนวนมาก "มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สูตรใหม่ตัวนี้จะทำให้กลุ่มคนเจน 'Z' หรือแรงงานรุ่นใหม่ในอนาคตได้รับประโยชน์มากขึ้น เพราะว่าเขามีแนวโน้มไม่ได้ทำงานยาวนานในชีวิต เงินเดือนเขาอาจจะเยอะในช่วงแรก และอาจจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์ นี่คือกลุ่มเจน Z ที่จะได้ประโยชน์ ขณะที่การปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดก็ทำให้แรงงานรุ่นก่อน รุ่นปัจจุบัน และรุ่นใกล้เกษียณได้ประโยชน์ พอสองอย่างนี้ทำควบคู่กัน นอกจากเสถียรภาพของกองทุนแล้ว ยังก่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างรุ่น" ษัษฐรัมย์ กล่าว ทั้งนี้ ยุทธวิธีที่ทำให้กองทุน สปส.ยั่งยืน ทาง สปส.วางแผนในการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่มีความซ้ำซ้อน และนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนฯ โดยตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 6-7% และในอนาคตจะมีการปรับเพดานสมทบฯ มาตรา 33 ด้วยจากเดิมอยู่ที่ 15,000 บาท โดยในปี 2569 เพิ่มเพดานเป็น 17,500 บาท ในปี 2572 เพิ่มเป็น 20,000 บาท และในปี 2575 เพิ่มเป็น 23,000 บาท นอกจากมาตรา 33 แล้ว ตัวของแผนสมทบของผู้ประกันตน มาตรา 39 จะปรับเพดานค่าจ้างขึ้นด้วยจากเดิม 432 บาทอัตราคงที่ โดยตอนนี้มีอยู่ 2 สูตร ประกอบด้วย สูตรที่ 1 มี 2 ทางเลือก คือ 600 บาท และอีกขั้น 700 บาท และสูตรที่ 2 มี 3 ทางเลือก คือ 472 บาท 653 บาท และ 772 บาท ซึ่งตอนนี้ผ่านประชาพิจารณ์ไปแล้ว เหลือแค่ให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติ และประกาศเป็นกฎกระทรวง * รายงานพิเศษ * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * กองทุนประกันสังคม * สูตรคำนวณบำนาญชราภาพ * สูตร CARE * ผู้ประกันตน * ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี * ณภูมิ สุวรรณภูมิ
dlvr.it
กสม.แถลงฝ่ายความมั่นคงละเมิดสิทธิฯ ปมทำ บช.เฝ้าระวัง-ใช้ IO โจมตีคนเห็นต่างทางการเมือง
กสม.แถลงฝ่ายความมั่นคงละเมิดสิทธิฯ ปมทำ บช.เฝ้าระวัง-ใช้ IO โจมตีคนเห็นต่างทางการเมือง
กสม.แถลงฝ่ายความมั่นคงละเมิดสิทธิฯ ปมทำ บช.เฝ้าระวัง-ใช้ IO โจมตีคนเห็นต่างทางการเมือง ภาพปก: ที่มา: ทีมสื่อพรรคประชาชน XmasUser Fri, 2025-10-24 - 19:13 กสม.แถลงผลการตรวจสอบกรณีมีเอกสารจากฝ่ายความมั่นคงจัดทำบัญชีเฝ้าระวังและใช้ IO โจมตีประชาชน หรือผู้ออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง 'เป็นการละเมิดสิทธิฯ' ชี้ไม่มีบทบัญญัติหรืออำนาจทางกฎหมายที่อนุญาตให้ทำ พร้อมมีข้อเสนอถึงกระทรวงกลาโหมตรวจสอบและแก้ไข ยกเลิกจัดทำ บช.เฝ้าระวัง หรือติดตามความเคลื่อนไหว   24 ต.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งวันนี้ (24 ต.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวประจำสัปดาห์วันนี้ (24 ต.ค.) โดยมีเรื่องสำคัญการแจ้งผลการตรวจสอบ หน่วยงานความมั่นคงจัดทำบัญชีกลุ่มบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ IO (ปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร) โจมตีประชาชน และผู้ออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง  วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือน เม.ย. 2568 ระบุว่า ผู้ร้องได้รับทราบข้อมูลกรณีเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2568 จากการที่ สส.พรรคประชาชน ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวอ้างว่าหน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้จัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทหารและตำรวจ เพื่อร่วมกันจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลและองค์กรเฝ้าระวังที่มีความสำคัญ และกระทบต่อสถาบันระดับสูง เช่น นักการเมือง นักวิชาการ นักกิจกรรมทางการเมือง เยาวชน และองค์กรเฝ้าระวัง นอกจากนี้ ยังใช้ข้อมูลโจมตีกลุ่มบุคคลและองค์กรดังกล่าว จึงขอให้ตรวจสอบ  เรื่องที่เกี่ยวข้อง * 'ชยพล' แฉภาคต่อขบวนการ IO กองทัพ 'ทักษิณ-อนุทิน' ยังไม่รอด   กสม.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้รับรองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งการกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชนเท่านั้น อันสอดคล้องตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กสม. ปรากฏว่าแม้ว่าหน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ได้ปฏิเสธการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง เพื่อปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations : IO) กับประชาชน นักการเมือง นักกิจกรรมทางการเมือง หรือองค์กรใด โดยในส่วนของกองทัพมุ่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และสร้างภูมิคุ้มกันข่าวปลอม อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานบุคคล ข้อมูลและความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ มีมูลอันเชื่อได้ว่า หน่วยงานผู้ถูกร้องมีการปฏิบัติการข่าวสารอันเป็นการสนธิปฏิบัติการต่างๆ ที่มุ่งสร้างผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ กระบวนการคิด หรือกระบวนการตกลงใจของ ฝ่ายตรงข้ามหรือกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ซึ่งข้อเท็จจริงตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ.ลับที่สุด ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของคณะทำงาน การกำหนดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ปีงบประมาณ 2568 กำหนดแผนงานแต่ละเดือน มีนโยบายและข้อสั่งการในการร่วมกันกำหนดบัญชีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่อาศัย ข้อมูลการศึกษา หมายเลขทะเบียนรถ พฤติกรรม และทัศนคติทางการเมือง รวมถึงข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวังและพรรคการเมือง และมีการสุ่มรหัสผ่าน เจาะบัญชีโดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นกำลังพลในสังกัดที่ใช้บัญชีในสื่อสังคมออนไลน์และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เพื่อตอบโต้ข้อเท็จจริง สร้างภาพจำ และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ เอกสารของ "กอ.รมน." ลับมาก ระบุประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รอบ 1 ปี ห้วง 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 กำหนดรายชื่อบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน เช่น นายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดปฏิรูปกฎหมาย ทัศนคติและเจตนาที่เป็นปฏิปักษ์ และกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง โดยในเอกสารปรากฏชื่อผู้อำนวยการสำนักการข่าว กอ.รมน. เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ.ลับที่สุด จึงเป็นการกำหนดแผนการดำเนินงานต่อกลุ่มเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน เป็นการยากที่หน่วยงานอื่นจะเข้าถึงข้อมูลและกระทำในลักษณะนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและวิธีปฏิบัติการของหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะ จึงเชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นภายในหน่วยงานของผู้ถูกร้อง อย่างไรก็ดี การจัดทำบัญชีเป้าหมายกลุ่มบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง หน่วยงานของรัฐจะกระทำได้ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ มีเงื่อนไข และขอบเขตที่ชัดเจน มาตรการที่ใช้จะต้องชอบด้วยกฎหมายและได้สัดส่วน ดังเช่นพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2559 แต่ในกรณีนี้ผู้ถูกร้องได้นำข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวัง ซึ่งมีความเห็นต่างทางการเมืองมาจัดทำบัญชี จึงมีลักษณะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ปรากฏบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจผู้ถูกร้องดำเนินการ นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกร้องนำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร โดยให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ไปใช้วิเคราะห์ ติดตามความเคลื่อนไหวทางกายภาพและสื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นขั้นตอนและมีระบบ รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเพื่อใช้ในการปฏิบัติด้านไซเบอร์ เพื่อตอบโต้และเผยแพร่ข้อเท็จจริง และสร้างกระแสบนสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยการใช้ถ้อยคำด้อยค่าและสร้างภาพจำเชิงลบต่อบุคคลหรือองค์กรเป้าหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้กระทำได้ รวมทั้งไม่ปรากฏหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการกำกับการปฏิบัติงานที่รัดกุมเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกำหนดลักษณะของบุคคลหรือองค์กรที่ต้องเฝ้าระวัง หรือวิธีปฏิบัติในการติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล ดังนั้น การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ทั้งที่หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพ รักษาความสงบเรียบร้อย และความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกับการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่าการที่ผู้ถูกร้องจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวังเป็นการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กรดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม.ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงกลาโหม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประมวลผล กรณีหน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) จัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กร เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยใช้ข้อมูลของรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ประกอบการพิจารณา และให้สั่งการเน้นย้ำและกำชับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดว่าในการกำหนดมาตรการ หรือวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือการรักษาความปลอดภัย จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปด้วย อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการจำกัดหรือแทรกแซงสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะต้องมีฐานของกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะและเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน นอกจากนี้ ให้ยกเลิกการจัดทำบัญชีบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง หรือปฏิบัติการในลักษณะเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล เพียงเพราะบุคคลดังกล่าวนั้นแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองด้วย * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ * กสม. * IO * กระทรวงกลาโหม * กองทัพ * ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร * ชยพล สท้อนดี
dlvr.it
'อนุทิน' ต้อนรับน้องรัก 'สุชาติ-ธนกร' เข้าภูมิใจไทย พร้อมขนกว่า 10 สส.ร่วมก๊วนอนาคต
'อนุทิน' ต้อนรับน้องรัก 'สุชาติ-ธนกร' เข้าภูมิใจไทย พร้อมขนกว่า 10 สส.ร่วมก๊วนอนาคต
'อนุทิน' ต้อนรับน้องรัก 'สุชาติ-ธนกร' เข้าภูมิใจไทย พร้อมขนกว่า 10 สส.ร่วมก๊วนอนาคต ภาพปก: ที่มา: พรรคภูมิใจไทย  XmasUser Fri, 2025-10-24 - 16:47 'อนุทิน' ต้อนรับน้องรัก 'สุชาติ-ธนกร' เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแล้ว เจ้าตัวเผยเตรียม สส.อีก 10 กว่าคนเข้าร่วมก๊วนในอนาคต ด้าน 'ธนกร' เผยเข้าร่วมเพราะพรรค ภท. ยึดมั่นในชาติ ศาสนา และกษัตริย์    24 ต.ค. 2568 เว็บไซต์พรรคภูมิใจไทย รายงานวันนี้ (24 ต.ค.) ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้การต้อนรับสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วย ฐาปกรณ์ กุลเจริญ เลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม อดีต สส.สมุทรปราการ เขต 6 ซึ่งแสดงความประสงค์จะลงสมัครในเขตเลือกตั้งเดิม และฤทธิรงค์ ภูมิสวัสดิ์ ที่ปรึกษาของ รมว.อุตสาหกรรม แสดงความประสงค์จะลงสมัคร สส.เขต 1 มหาสารคาม มาร่วมสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ ยังมีคณะ สส.ที่มาให้กำลังใจ ประกอบด้วย พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช, กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี, สันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร, พล.ต.ต.สุรพล บุญมา สส.นครนายก, อนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์ สส.ชลบุรี, วัชระ ยาวอหะซัน สส.นราธิวาส, พันธ์ศักดิ์ บุญแทน สส.สุราษฎร์ธานี, ศาสตรา ศรีปาน สส. สงขลา, ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ สส.บัญชีรายชื่อ และพิพิธ รัตนรักษ์ สส.สุราษฎร์ธานี อนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ นําโดยสุชาติ และธนกร ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นน้องรักของตนทํางานการเมืองมาระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาสมควรในวันนี้จึงตัดสินใจที่จะมาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เพื่อที่เราจะได้ทํางานด้านการเมือง เตรียมการเลือกตั้งที่กําลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และบริหารพรรคร่วมกัน ซึ่งทีมงานของสุชาติ และธนกร ที่มาในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลการเมืองที่มีคุณภาพ ใกล้ชิดประชาชน มีความทุ่มเททํางานเพื่อบ้านเมือง พรรคภูมิใจไทยรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทุกคน และคณะทั้งหมดมาเป็นสมาชิกพรรคฯ หวังว่าจะสามารถทําประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ และประชาชนจากการทํางานการเมืองของพวกเรา ด้านสุชาติ กล่าวว่า ขอบคุณอนุทิน ที่มาให้การต้อนรับในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีและเป็นนักการเมือง ได้ติดตามรู้จักกับอนุทิน มาอย่างยาวนาน ทําการเมืองด้วยกัน ซึ่งวันนี้เขามาพร้อมกับธนกร ตัดสินใจที่จะสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเพื่อผลักดันทางการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งหน้า วันนี้เขามาพร้อมกับ สจ.หลายจังหวัด และเพื่อน สส. ปัจจุบันประมาณ 15-16 คน แต่ด้วยมารยาททางการเมือง ต้องรอให้ถึงโหมดที่จะเคลื่อนย้ายถ่ายเทเปลี่ยนแปลงได้ก่อน ถึงวันนั้นพวกเราจะมาครบทุกคน และอาจมีมากกว่านั้นอีก ยืนยันว่ากลุ่มของตนมีอุดมการณ์เดียวกัน ตั้งใจทํางานการเมืองให้กับประเทศชาติ เชื่อมั่นในตัวกรัฐมนตรี เชื่อมั่นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีความรู้ความสามารถมีความซื่อสัตย์สุจริตนําพาประเทศชาติสู่ความรุ่งเรืองและประสบความสําเร็จได้แน่นอน อีกทั้งพื้นที่การทํางานของพวกเราไม่ได้มีปัญหาทับซ้อนกัน วันนี้เราอยู่บ้านเดียวกันเป้าหมายเดียวกันคือทําให้ประเทศชาติบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า  "ยืนยันว่ามาครบทุกคนแต่ด้วยการเป็น สส. วันนี้จึงสมัครได้เพียงเท่านี้ก่อน ผมเคยเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยมาก่อนในช่วงปี 2551 แต่เนื่องจากการเมืองในช่วงปี 54 ผมจําเป็นต้องย้ายไปพรรคอื่นก่อน ตอนนี้ก็กลับมาอยู่พรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง" สุชาติ กล่าว  สุชาติ กล่าวอีกว่า วันนี้มาพร้อมทั้งรัฐมนตรี และ สส. ซึ่งตัดสินใจที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เพื่อจะทำงานการเมือง เพื่อที่จะต้องมีการเลือกตั้งที่เรานับถอยหลังกันอยู่ มาในวันนี้ข้างหลังที่เห็นอยู่ก็คือน้องๆ สจ. สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งจังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง มีเพื่อน สส. ซึ่งมากับเขาอยู่ประมาณสัก 15-16 คน อยู่ข้างหลังสื่อมวลชน แต่ด้วยมารยาท ด้วยทางการเมือง หรืออะไรหลายๆ อย่าง เดี๋ยวรอให้ถึงโหมดที่เราจะต้องคลื่อนย้ายถ่ายเท เปลี่ยนแปลงกันได้ ถึงวันนั้นพวกเรามาครบทุกคน แล้วมีเกิน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2551 หรือ 2552 เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย วันนี้เรากลับมาครั้งแรกในชีวิต เป็นสมาชิกพรรคการเมืองคือพรรคภูมิใจไทย วันนั้นใช้สโลแกนภูมิใจชล ภูมิใจไทยเดี๋ยวคงต้องกลับไปใช้เหมือนเดิม ขอขอบคุณท่านนายกฯ ที่ให้โอกาสพวกเขา ด้านธนกร กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จริงๆ แล้วเคยเป็นสมาชิกพรรค แล้วเคยลง สส.พรรคภูมิใจไทย แล้วก็เขาให้ความเคารพพ่อท่านายกฯ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตหัวหน้าพรรค แล้วก็รู้จักกับท่านมานาน ส่วนอนุทิน เขาเองเป็นน้อง ได้ทำงานกับท่านมาตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นโฆษกรัฐบาล และก็เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เขาเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าพรรคว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และก็ครบเครื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ ในเรื่องของการเมือง และก็ท่านเป็นคนที่สามารถประสานได้ทุกทิศ แล้วก็เป็นคนที่มีความอ่อนหวาน แต่ว่าเด็ดขาด "สำคัญที่สุดคือว่า สิ่งที่ผมตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำงานร่วมกับท่าน คือ เป็นคนยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นะครับ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าท่านสามารถนำพาประเทศไปสู่วันข้างหน้าได้ และวันนี้สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือว่า พอท่านมาเป็นนายกฯ นโยบายสำคัญที่ดีๆ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง ก็มาทำต่อ นั่นหมายความว่าท่านมีสปิริตทางการเมือง สิ่งไหนที่ดีที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ท่านก็ดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้นายกฯ ในอนาคตคงจะเป็นชื่อท่านอนุทิน เพราะฉะนั้นแล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด และก็เช่นเดียวท่านสุชาติ เพราะฉะนั้นผมเชื่อมั่นในหัวหน้าพรรค เชื่อมั่นในนโยบาย เพราะฉะนั้นก็ขอบคุณท่านายกฯ และก็ทีมผู้บริหารของพรรคทุกคน" ธนกร กล่าว  จากนั้น อนุทิน ได้สวมเสื้อแจ๊กเก็ตพรรคภูมิใจไทยให้สุชาติ และธนกร รวมถึงคณะทีมงาน ทั้งนี้ ระหว่างที่อนุทิน สวมเสื้อให้ธนกร อนุทินได้ลงอักขระ หลังเสื้อแจ๊กเก็ตพรรคภูมิใจไทย และทุบหลังธนกรอีกด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น * ข่าว * การเมือง * สุชาติ ชมกลิ่น * ธนกร วังบุญคงชนะ * พรรคภูมิใจไทย * อนุทิน ชาญวีรกูล * พรรครวมไทยสร้างชาติ
dlvr.it
'เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ' ยื่นข้อเสนอวัน 'งานที่มีคุณค่า' เรียกร้องหนุนสิทธิเมนส์มาลาได้-ทำงาน 40 ชม./สัปดาห์
'เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ' ยื่นข้อเสนอวัน 'งานที่มีคุณค่า' เรียกร้องหนุนสิทธิเมนส์มาลาได้-ทำงาน 40 ชม./สัปดาห์
'เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ' ยื่นข้อเสนอวัน 'งานที่มีคุณค่า' เรียกร้องหนุนสิทธิเมนส์มาลาได้-ทำงาน 40 ชม./สัปดาห์ Pazzle Fri, 2025-10-24 - 16:28 เครือข่ายแรงงานภาคเหนือและองค์กรในเครือข่ายยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงานผ่านไปทางสำนักงานแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องในวัน Decent Work หรือวันงานที่มีคุณค่า เรียกร้องรัฐบาลขยับสิทธิแรงงาน ทำงาน 40 ชม.ต่อสัปดาห์ (เดิม 48 ชม.) สนับสนุนให้แรงงานหญิงมีสิทธิลาได้จริงในวันที่มีประจำเดือน โดยได้รับค่าจ้าง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลคุณภาพชีวิตแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ   24 ต.ค. 2568 เครือข่ายแรงงานภาคเหนือและองค์กรในเครือข่ายเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ยื่นข้อเสนอ Decent Work 2568 ถึงกระทรวงแรงงานผ่านไปทางสำนักงานแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องในวัน Decent Work หรือวันงานที่มีคุณค่า โดย ILO กำหนดให้ตรงกับวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้ให้นิยามของคำว่า Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า ไว้ว่า ‘งานที่สามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของคนได้’ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ด้าน ได้แก่ 1. งานที่นำมาซึ่งโอกาสในการทำงานและรายได้ที่เป็นธรรม 2. งานที่ทำให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่ทำงาน 3. งานที่สามารถสร้างความมั่นคง-ความคุ้มครองทางสังคมให้กับครอบครัว 4. งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง 5. งานที่ช่วยให้ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social integration)  6. งานที่สนับสนุนการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถึงความห่วงกังวลต่าง ๆ 7. งานที่สนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใด ๆ ที่อาจจะกระทบกับชีวิตของผู้ที่ทำงาน 8. งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ) โดยหลักการ Decent Work ได้รับการสนับสนุนจาก UN มีการบรรจุอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) อย่างไรก็ตาม แรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติยังประสบปัญหาด้านการทำงานที่ขัดต่อหลักสากลอย่าง Decent Work อยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการขาดสวัสดิการที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของแรงงานเอง โดยมีสาเหตุทั้งจากโครงสร้างที่ผลักแรงงานออกนอกระบบและสาเหตุจากการที่ถูกนายจ้างเอาเปรียบ, การมีค่าจ้างและชั่วโมงการทำงานต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, การบังคับใช้กฎหมายแรงงาน, การเลือกปฏิบัติระหว่างเพศและเชื้อชาติ ที่ส่งผลให้แรงงานเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย, และที่สำคัญที่สุด คือการขาดอำนาจต่อรอง ขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใดๆ ที่กระทบต่อตัวเอง ดังนั้น เครือข่ายแรงงานภาคเหนือและองค์กรในเครือข่ายจึงมีข้อเสนอที่ต้องการเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของแรงงาน ดังนี้ ข้อเสนอเร่งด่วน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 1. สนับสนุนร่างพรบ.คุ้มครองแรงงาน ของจรัส คุ้มไข่น้ำ ที่กำลังพิจารณาอยู่ในรัฐสภาขณะนี้ สาระสำคัญของพรบ.นี้ได้แก่การลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชม./สัปดาห์เหลือ 40 ชม./สัปดาห์ และเพิ่มวันหยุดพักผ่อนประจำปีจาก 6 เป็น 10 วัน ได้รับสิทธิเมื่อทำงานครบ 120 วัน เนื่องจากปัจจุบันแรงงานในภาคเหนือมีชั่วโมงการทำงานที่ต่อเนื่อง ยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าแรงงานภาคเอกชนไทยมีเวลาการทำงานเฉลี่ยสูงถึง 47.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในไตรมาส 4 พ.ศ.2567 ซึ่งตรงกับฤดูท่องเที่ยว ทำให้แรงงานขาดเวลาพักผ่อน ขาดเวลาในการใช้ชีวิต ขาดเวลาไปศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง ซึ่งการขาดเวลาไปพัฒนาตัวเองนั้น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือไม่ได้รับการพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่มีสถานศึกษาที่ผลิตบุคลากรมีคุณภาพให้สังคมได้จำนวนมาก นอกจากนี้ การลดเกณฑ์ใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลือ 120 วัน จะส่งผลดีต่อแรงงานภาคเหนืออย่างมาก เนื่องจากแรงงานจำนวนมากในภาคเหนือโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวมีระยะเวลาการทำงานที่สั้น มีการจ้างงานระยะสั้นสูง แรงงานจำนวนมากที่ทำงานไม่ครบ 1 ปีตามกฎหมายเดิม จะไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย จะทำให้สอดคล้องกับหลักการที่ 4 ของ Decent Work คือ งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง 2. สนับสนุนร่างพรบ.คุ้มครองแรงงาน ของวรรณวิภา ไม้สน ที่กำลังพิจารณาอยู่ในรัฐสภาขณะนี้ สาระสำคัญของพรบ.นี้คือการอนุญาติให้แรงงานหญิงสามารถลาได้เมื่อเป็นประจำเดือนโดยได้รับค่าจ้าง เนื่องจากเราอาการปวดประจำเดือนของแต่ละคนมีความรุนแรงและระยะเวลาไม่เท่ากัน เราไม่ต้องการบีบบังคับให้คนทำงานขณะมีความเจ็บปวด ยังเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศตามหลักการ SDGs และสุขภาวะอนามัยของผู้หญิง สอดคล้องกับหลักการหมวด 8 ของ Decent Work งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ) ทั้งนี้เครือข่ายแรงงานภาคเหนือได้ขับเคลื่อนสิทธิการลาเมื่อเป็นประจำเดือนมาอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 3 พ.ค. พ.ศ.2568 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ประกาศเชิญชวนสถานประกอบการทั้งประเทศให้อนุญาติให้ลูกจ้างสามารถลาได้โดยได้รับค่าจ้างเมื่อเป็นประจำเดือน โดยในประกาศได้อ้างถึงข้อเรียกร้องเดือนธันวาคม 2567 ของเครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ข้อเสนอ Decent Work เมื่อปี 2567 หมวด 1 งานที่นำมาซึ่งโอกาสในการทำงานและรายได้ที่เป็นธรรม 1. รัฐบาลต้องมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานที่มีอยู่แล้วอย่างเคร่งครัด เนื่องจากแรงงานจำนวนมากยังเผชิญกับการถูกขโมยค่าจ้าง (wage theft) โดยต้องทำงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ยังต้องทำงานเกินชั่วโมงการทำงานโดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลา ยังถูกหักค่าจ้างเป็นการลงโทษ นายจ้างหักเงินแต่ไม่นำส่งประกันสังคม ถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ฯลฯ โดยรัฐต้องเพิ่มจำนวนพนักงานตรวจแรงงานให้มากขึ้น 10 เท่า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 1 คน ต่อประชากร 100,000 คน เป็น 1 ต่อ 10,000 คน รัฐบาลต้องทำให้การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนด้านแรงงานสามารถตรวจสอบออนไลน์ได้ 2. รัฐต้องกำหนดให้แพลตฟอร์มการจ้างงานต่างๆ แพลตฟอร์มรับส่งอาหาร ต้องมีค่าจ้างขั้นต่ำ และต้องเปิดเผย algorithm หรือขั้นตอนวิธีการทำงานของแพลตฟอร์ม ที่เป็นตัวกำหนดว่าแรงงานคนไหนจะได้งาน ไม่ได้งาน ได้งานแบบไหน ได้ค่าจ้างเท่าไร ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรมต่อแรงงานและการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น 3. ขอให้รัฐบาลกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 700 บาทต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลต้องใช้หลักค่าจ้างเพื่อชีวิต (Living Wage) ในการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ รัฐบาลต้องแก้ไขกฎกระทรวงให้การสรรหาคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ มีความโปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย เปิดเผยบันทึกการประชุมค่าจ้างทุกครั้ง เปิดเผยข้อมูลและสูตรการคำนวณค่าจ้างขั้นต่ำ 4. ปกป้องแรงงานสร้างสรรค์ เช่น นักออกแบบกราฟิก, นักวาด, นักพากย์เสียง, นักเขียน, ช่างภาพ, คนทำหนัง โดยการไม่ให้นำผลงานไปฝึกสอน AI โดยที่แรงงานไม่ยินยอม หากตรวจพบแรงงานต้องมีสิทธิ์เอาโทษและได้เงินค่าลิขสิทธิ์ หมวด 2 งานที่ทำให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่ทำงาน 1. รัฐบาลและรัฐสภาต้องแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเร็วที่สุด โดยห้ามนำเข้าสินค้าที่มีกระบวนการผลิตจากการเผา และกำหนดให้ผู้ปล่อยมลพิษต้องจัดทำรายงานความโปร่งใสให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพราะผู้ที่ได้รับกระทบมากที่สุดจากฝุ่นคือแรงงานที่ทำงานนอกบ้าน ไม่สามารถหยุดงานได้ เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานส่งอาหาร พนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้ประกอบอาชีพค้าขายอิสระ ฯลฯ ส่งผลต่อการพัฒนาทางสมองของลูกหลานพี่น้องแรงงานที่จะโตมาเป็นแรงงานของชาติอีกต่อหนึ่ง 2. รัฐบาลต้องเพิ่มโทษของนายจ้างที่ละเมิดสิทธิแรงงาน ทั้งเพิ่มโทษปรับ โทษจำคุก และเพิกถอนสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น การลดหย่อนภาษี ให้กองติดตามและประเมินผลของ BOI มีช่องทางร้องเรียนด้านการละเมิดสิทธิแรงงานเพื่อเพิกถอนสิทธิประโยชน์ หมวด 3 งานที่สามารถสร้างความมั่นคง-ความคุ้มครองทางสังคมให้กับครอบครัว 1. รัฐบาลต้องให้ความคุ้มครองด้านแรงงานแก่แรงงานทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกและไม่เลือกปฏิบัติ แรงงานทุกกลุ่มต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานภาครัฐ แรงงานมหาวิทยาลัย แรงงานภาคประชาสังคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร แรงงานที่ทำงานให้พรรคการเมือง แรงงานอิสระ แรงงานแพลตฟอร์ม แรงงานนอกระบบ แรงงานภาคเกษตร แรงงานประมง แรงงานข้ามชาติ แรงงานที่ทำงานบ้าน ลูกจ้างชั่วคราวเหมาค่าแรงของภาครัฐ แรงงานบริการ 2. ให้แรงงานทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสังคมแบบถ้วนหน้า โดยไม่แบ่งแยกอาชีพ สภาพการจ้าง และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ ตามหลักเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ตลอดจนเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เช่น เงินอุดหนุนบุตร ค่าคลอดบุตร บำนาญ ประกันการว่างงาน ค่ารักษาพยาบาล บำนาญชราภาพ และขยายเพดานเงินสมทบของผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 15,000 บาทในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้การสมทบเป็นแบบถดถอย (regressive) กล่าวคือ มีมากต้องจ่ายสมทบมากเช่นเดียวกับภาษี เพิ่มอัตราสมทบจากฝั่งนายจ้างเป็น 15% 3. รัฐต้องจัดให้มีรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income: UBI) แก่ประชากรทุกคน ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจนเดือนละ 3,000 บาท เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานอิสระ แรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้มีสวัสดิการเหมือนแรงงานในระบบ 4. เตรียมมาตรการรับมือการปิดสถานประกอบการ การถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้ค่าชดเชย จากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ขยายเงินประกันการว่างงานเป็น 80% ของเงินเดือน ให้รัฐบาลขยายแหล่งที่มาของรายได้ในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยให้จัดเก็บเงินจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายให้กับคนงานในกรณีปิดกิจการ ให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มพนักงานทั้ง 4 บริษัท ที่กำลังชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลโดยด่วนที่สุด 5. รัฐบาลต้องเก็บภาษีความมั่งคั่ง (Net Wealth Tax) โดยกำหนดผู้มีทรัพย์สิน 30,000,000 บาท หรือกลุ่มที่มีความมั่งคั่งบนสุด 0.1% ของประเทศ ต้องจ่ายภาษีฐานความมั่งคั่งแก่รัฐในอัตรา 1% ของทรัพย์สินทุกปี โดยสามารถพิจารณาเก็บมากขึ้นแบบขั้นบันได เช่น มีทรัพย์สินมากกว่า 100,000,000 บาท ต้องจ่ายภาษีความมั่งคั่ง 2% ต่อปี 6. รัฐต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีน้ำประปาสะอาดดื่มได้ทุกพื้นที่ หมวด 4 งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง 1. รัฐต้องกำหนดเวลาทำงานพื้นฐาน 4 วัน หรือ 32 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานทุกภาคส่วนจะได้รับความคุ้มครองและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะบุคลาการด้านสาธารณสุขต้องทำงานไม่เกิน 60 ชม.ต่อสัปดาห์ อีกทั้งยังได้รับการพิสูจน์ในหลายประเทศแล้วว่าทำให้แรงงานมีผลิตภาพมากขึ้น 2. รัฐบาลหรือรัฐสภาต้องกำหนดให้มีวันลาพักผ่อนแก่แรงงานทุกคนไม่ต่ำกว่า 25 วันต่อปี สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 132 ของ ILO ที่ต้องกำหนดให้แรงงานมีวันพักผ่อนต่อปีไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ทำงาน และควรมีสิทธิการหยุดงานไปลาครอบครัวที่กำลังจะเสียชีวิต สิทธิหยุดงานในวันที่เป็นประจำเดือน ในวันที่มีอาการเครียด และในวันที่มีอาการหมดไฟในการทำงาน (Burn out) หมวด 5 งานที่ช่วยให้ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social integration)  1. ขอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี เพื่อเลิกการตีตราและกดทับพนักงานบริการทางเพศ 2. แรงงานข้ามชาติสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานได้ด้วยตนเองตลอดทั้งปี โดยมีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน ใช้เอกสารและค่าใช้จ่ายน้อย และมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ให้บริการตลอดทั้งปี มีกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานและการอาศัยอยู่ในประเทศของแรงงานข้ามชาติกำหนดระยะเวลาของใบอนุญาตทำงานและการต่อวีซ่าให้สอดคล้องกับอายุของหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัว อนุญาตให้แรงงานทำงานไม่ผูกติดกับนายจ้างเพียงคนเดียว และปรับปรุงประกาศกระทรวงเรื่องงานให้แรงงานข้ามชาติสามารถทำงานได้ทุกอาชีพตามความสามารถของตน 3. กำหนดบทลงโทษนายหน้าหรือนายจ้างที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด 4. ผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติทุกคนต้องเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ โดยปรับอัตราค่าประกันสุขภาพสำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 18 ปี เป็น 365 บาท/ปี/คน เข้าถึงสิทธิการศึกษาอย่างเท่าเทียมและต่อเนื่อง ทั้งในระบบ นอกระบบ และไม่ถูกบังคับใช้แรงงาน 5. รัฐบาลต้องสร้างศูนย์ดูแลเด็ก  (Childcare) ให้พ่อแม่เข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เด็กมีพัฒนาการทางกายและสติปัญญาสูงที่สุด ยังเป็นการส่งเสริมการทำงานในตลาดแรงงานของแม่ พ่อแม่มีเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิต 6. รัฐบาลต้องทำให้พี่น้องแรงงานเข้าถึงสิทธิในการเดินทาง โดยจัดให้มีขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ไฟฟ้า ขนส่งระบบรางเบา ที่มีความทั่วถึง ตรงเวลา ราคาถูก  เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดอุบัติเหตุในการเดินทางแก่พี่น้องแรงงาน และจัดให้มีเลนจักรยานแยกออกมาต่างหาก ทำทางเท้าให้ดี เพื่อความเท่าเทียมกันของวิธีการเดินทาง 7. รัฐบาลบาลต้องจัดเตรียมล่ามแปลภาษาต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาใช้บริการหรือร้องเรียน หมวด 6 งานที่สนับสนุนการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถึงความห่วงกังวลต่าง ๆ และหมวด 7 งานที่สนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องใด ๆ ที่อาจจะกระทบกับชีวิตของผู้ที่ทำงาน 1. รัฐบาลและรัฐสภาต้องส่งเสริมการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน ให้แรงงานทุกอาชีพ ทุกสภาพการจ้าง โดยเฉพาะแรงงานภาครัฐและแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลต้องให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง  หมวด 8 งานที่ให้โอกาสและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมสำหรับหญิงและชายทุกคน (ความเท่าเทียมทางเพศ) 1. รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการในการกำจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิทั้งทางการเมืองและทางเพศ โดยเฉพาะผู้มีความหลากหลายทางเพศ ตั้งแต่ความคิดทางการเมือง การรับเข้าทำงาน การไม่จ้างคนท้อง ค่าจ้างที่ไม่เท่ากันระหว่างเพศ การรับบริจาคเลือดของสภากาชาด 2. พิจารณาสวัสดิการรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น เช่น ผ้าอนามัยฟรี, เงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้าจนอายุ 18 ปี, ค่าตอบแทนของคนทำงานดูแล (care income), กล่องสวัสดิการเด็กแรกเกิด   * ข่าว * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ * วันงานที่มีคุณค่า * เมนส์มาลาได้ * ลดชั่วโมงการทำงาน
dlvr.it
ก.ร.ตร.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง 'ต่อศักดิ์'-ตำรวจ 200 นาย ปมรับส่วยธุรกิจสีเทา
ก.ร.ตร.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง 'ต่อศักดิ์'-ตำรวจ 200 นาย ปมรับส่วยธุรกิจสีเทา
ก.ร.ตร.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง 'ต่อศักดิ์'-ตำรวจ 200 นาย ปมรับส่วยธุรกิจสีเทา ภาพปก: ต่อศักดิ์ สุขวิมล (ที่มา: สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) XmasUser Fri, 2025-10-24 - 16:21 ก.ร.ตร. มีมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง 'ต่อศักดิ์ สุขวิมล' และ ตร. 200 นาย ปมรับส่วยธุรกิจสีเทา โดยหลังจากนี้จะมีการเรียกตัวผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาและพวกเข้ามาชี้แจง หากสอบสวนแล้ว พบว่าผิดจริงจะถูกปลดออกจากตำแหน่งย้อนหลัง และส่งเรื่อง ปปช.ดำเนินการต่อ   24 ต.ค. 2568 สื่อหลายแห่งรายงานตรงกันวันนี้ (24 ต.ค.) คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกกว่า 200 นาย จากกรณีรับส่วยจากขบวนการเว็บพนันออนไลน์ หลังจากษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ยื่นร้องเรียนเมื่อเดือน มี.ค. 2567 รายงานจาก ก.ร.ตร. ระบุว่า การตรวจสอบใช้เวลากว่า 7 เดือน โดยรวบรวมเอกสารจากหน่วยงานต่าง ๆ และสืบย้อนหลังหลายปี ก่อนมีมติเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่าผู้ถูกร้องมีมูลความผิดจริง ขั้นตอนต่อไปคือเปิดโอกาสให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และผู้เกี่ยวข้องชี้แจงข้อกล่าวหา คณะกรรมการจะนำคำชี้แจงมาพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อตัดสินโทษวินัยว่าร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง จากนั้นส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนซ้ำได้ เว้นแต่มีพยานหลักฐานใหม่หรือข้อโต้แย้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงรูปคดี ก.ร.ตร. ย้ำว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อความโปร่งใสในการสอบสวน สำหรับกรณีของต่อศักดิ์ เกิดขึ้นเมื่อ มี.ค. 2567 เมื่อทนายตั้ม หรือษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน ก.ร.ตร. ที่ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจ หรือพบเห็นการกระทำผิดของตำรวจ ซึ่งทนายตั้ม ร้องเรียน ก.ร.ตร. สอบสวน พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ และภรรยา เรื่องเรียกและรับส่วยจาก 18 ธุรกิจสีเทา เช่น เว็บพนันออนไลน์ หวยใต้ดิน เงินกู้นอกระบบ บุหรี่ไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้ พล.ต.ท. เรวัช กลิ่นเกษร หนึ่งในสมาชิก ก.ร.ตร. กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทยว่า เหตุที่การสอบสวนต้องใช้เวลากว่า 7 เดือนในการตรวจสอบ เนื่องจากมีขั้นตอนที่ต้องขอเอกสารจากธนาคาร ซึ่งใช้เวลานาน และก็ต้องมีขั้นตอนตรวจสอบย้อนหลังไปด้วยหลายปี ซึ่งคณะกรรมการก็มีมติชี้มูลแจ้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แต่ว่าในขั้นตอนนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด และจะเรียก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพวก เข้ามาชี้แจง ถึงจะมาสู่ขั้นตอนพิจารณาคำชี้แจง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพวก เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย ถ้าไม่มีความผิดก็พ้นไป แต่ถ้าผิด ก็จะมีฐานความผิดวินัยร้ายแรง พล.ต.ท.เรวัช กล่าวต่อว่า ถ้ากรณีที่สอบสวนและพบว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีความผิดวินัยร้ายแรงจริง ก็จะส่งเรื่องไปยัง ผบ.ตร. ซึ่ง ผบ.ตร.จะไม่มีสิทธิเห็นแย้ง และต้องรับไปดำเนินการเท่านั้น โดยโทษคือจะถูกปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลัง แม้ว่าตัว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่หาก ผบ.ตร.ไม่ดำเนินการ ผู้บังคับบัญชาท่านนั้นจะถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีร้ายแรง และดำเนินคดีอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ในฐานความผิดอาญากรณีพบว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผิดวินัยร้ายแรงจริง นอกจากมีการปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว จะมีการส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ดำเนินการต่ออีกด้วย   * ข่าว * การเมือง * ต่อศักดิ์ สุขวิมล * ษิทรา เบี้ยบังเกิด * การทุจริตคอรัปชั่น * เรวัช กลิ่นเกษร * คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ
dlvr.it
ศูนย์สั่งการชายแดนฯ เผยต่างชาติหนี 'เคเคปาร์ค' เข้าแม่สอด ทะลุพันรายแล้ว
ศูนย์สั่งการชายแดนฯ เผยต่างชาติหนี 'เคเคปาร์ค' เข้าแม่สอด ทะลุพันรายแล้ว
ศูนย์สั่งการชายแดนฯ เผยต่างชาติหนี 'เคเคปาร์ค' เข้าแม่สอด ทะลุพันรายแล้ว ภาพปก: เพจเฟซบุ๊ก ประชาสัมพันธ์จังหวัดตาก  XmasUser Fri, 2025-10-24 - 15:22 ด้านศูนย์สั่งการชายแดนฯ จ.ตาก เผยต่างชาติและชาวไทยที่หนีจาก 'KK Park' เข้ามา อ.แม่สอด ทะลุ 1,049 คนแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ในกระบวนการคัดกรอง หากพบเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ จะส่งตัวเข้าสู่กลไก NRM หากไม่ใช่ ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย   สืบเนื่องจากสถานการณ์การปราบปรามสแกมเมอร์ที่เมือง 'เคเคปาร์ค' (KK Park) ฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.) ทำให้มีคนต่างชาติ และไทย หนีเข้า อ.แม่สอด จ.ตาก รวมจำนวน 795 คน โดยจำนวนนี้มี 21 สัญชาติ 24 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก The Reporters รายงานวันนี้ (24 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.06 น. ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จ.ตาก รายงานการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการ (ส่วนหน้า) อัปเดตแก้ไขปัญหาบุคคลต่างชาติลักลอบเข้ามายังพื้นที่จังหวัดตาก ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 2568 มีบุคคลต่างชาติลักลอบข้ามแดนมาทางช่องทางธรรมชาติ เข้ามายังประเทศไทย บริเวณหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 9 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก สัญญา เพชรเศษ นายอำเภอแม่สอด เปิดเผยว่า ยอดล่าสุด ณ เวลา 7.00 น. วันที่ 24 ต.ค. 2568  มีการช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาประเทศไทย จำนวน 1,049 คน เป็นชาย 913 คน หญิง 136 คน จำนวน 26 สัญชาติ ประกอบด้วยอินเดีย 399 คน จีน 147 คน เวียดนาม 138 คน แอฟริกา 5 คน เอธิโอเปีย 94 คน ปากีสถาน 43 คน เนปาล 12 คน ไทย 31 คน กานา 7 คน ศรีลังกา 4 คน ฟิลิปปินส์ 66 คน เมียนมา 7 คน คาซัคสถาน 2 คน บังคลาเทศ 3 คน เคนยา 8 คน คองโก 2 คน รวันดา 3 คน เซียร์ร่าลีโอน 4 คน บุรุนดี 2 คน ไนจีเรีย 7 คน และอินโดนีเซีย 27 คน ลาว 15 คน กินี 1 คน ยูกันดา 20 คน ซิมบับเว 1 คน และไลบีเรีย 1 คน ศูนย์สั่งการชายแดนฯ ระบุต่อว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานี ตำรวจภูธรแม่สอด กำลังคัดกรองบุคคลต่างชาติ หากพบข้อบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นอาจตกเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ จะดำเนินการส่งเข้ากระบวนการศูนย์บูรณาการคัดแยก ตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) โดยจัดทีมสหวิชาชีพเข้าคัดแยก ตามแนวทาง NRM หากเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ จะส่งศูนย์ฯ สภ.แม่สอด หากไม่ใช่ จะส่งตัวดำเนินคดีเข้าเมืองผิดกฏหมาย โดย ตม.แม่สอด และประสานส่งกลับประเทศต้นทาง นอกจากนี้ The Reporters รายงานด้วยว่า นายอำเภอแม่สอด เปิดเผยว่า บ่ายวันนี้ (24 ต.ค.) สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย จะเดินทางไปที่สะพานฯ 2 เพื่อติดตามการดำเนินการ ซึ่งมีชาวอินเดียมากที่สุด และคาดว่าจะมีสถานทูตฯ ต่างๆมาประสานงานต่อไป ทั้งนี้หากไม่มีคนมาเพิ่ม ทางอำเภอแม่สอด และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ตาก ยังสามารถดูแลได้ * ข่าว * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * ศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา * แม่สอด * เมียนมา * เคเคปาร์ค * KK Park * แก๊งสแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * ชายแดนไทย-เมียนมา
dlvr.it
รัฐบาล 'อนุทิน' หารือ กกต. แนวทางจัดเลือกตั้งพร้อมประชามติร่าง รธน.ใหม่-MOU43-44
รัฐบาล 'อนุทิน' หารือ กกต. แนวทางจัดเลือกตั้งพร้อมประชามติร่าง รธน.ใหม่-MOU43-44
รัฐบาล 'อนุทิน' หารือ กกต. แนวทางจัดเลือกตั้งพร้อมประชามติร่าง รธน.ใหม่-MOU43-44 ภาพปก: ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า  XmasUser Fri, 2025-10-24 - 14:34 รัฐบาลอนุทิน เข้าหารือกับ กกต. ถึงแนวทางโดยคร่าว เรื่องการจัดเลือกตั้ง พร้อมทำประชามติร่าง รธน.ฉบับใหม่ และยกเลิก MOU 43-44 เบื้องต้นมีการพูดถึงจำนวนบัตรเลือกตั้งกรณีทำประชามติ จะมีด้วยกัน 4 ใบ อาจใช้งบฯ อยู่ที่ 9 พันล้าน ส่วนเรื่องทำประชามติยกเลิก MOU43-44 รัฐบาลจะตั้งคณะทำงานเพื่อหารือกับ กกต.ต่อไป แต่ยันยังเดินหน้าเพราะแถลงต่อรัฐสภาไว้แล้ว   24 ต.ค. 2568 ผู้สื่อข่าว The Reporters ถ่ายทอดสดออนไลน์วันนี้ (24 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังประชุมหารือร่วมกันเรื่องการจัดทำประชามติ พร้อมเลือกตั้งทั่วไป อิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุว่า วันนี้เป็นการหารือเบื้องต้นว่า จะจัดเลือกตั้ง และประชามติพร้อมกัน จะต้องมีการเตรียมการอย่างไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งเป็นการคุยประเด็นกว้างๆ และยังไม่มีการลงรายละเอียดอะไร อิทธิพร กล่าวต่อว่า เรื่องจำนวนบัตร เบื้องต้น จะต้องมีบัตรเลือกตั้งอย่างน้อย 2 ใบ คือเลือกตั้งแบบเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ส่วนถ้ามีการทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยกเลิกบันทึกข้อตกลงร่วม หรือ MOU 43-44 จะมีทั้งหมด รวม 4 ใบ “ถ้ามี 4 ใบก็จะต้องมีวิธีการบริหารจัดการให้มั่นใจที่สุด ว่าผู้มีสิทธิออกเสียงและก็เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่หน่วยจะไม่มีความสับสน การบริหารจัดการที่จะต้องลงรายละเอียด และจะทำให้ดีที่สุดต่อไป” อิทธิพร กล่าว ต่อประเด็นที่สื่อสอบถามว่าตอนนี้มี พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับใหม่ลงมาแล้ว ดังนั้น ทาง กกต.มีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร อิทธิพร กล่าวว่า พ.ร.บ.ประชามติฉบับเดิมหรือใหม่ ทาง กกต.ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม มีผลใช้บังคับเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และเราพร้อมจะปฏิบัติไปตามนั้น ส่วนเรื่องวิธีการนับคะแนนจะเป็นอย่างไรนั้น อิทธิพร กล่าวว่า ส่วนเรื่องการนับคะแนนยังไม่ได้ลงในรายละเอียดว่าจะนับคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อน หรือนับคะแนนการลงประชามติก่อน ก็ยังไม่ลงไปคุยในรายละเอียด แต่เป็นประเด็นที่ต้องคุยกัน ส่วนเรื่องงบประมาณที่ต้องใช้ อิทธิพร ระบุเบื้องต้นว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 กว่าล้านบาท แต่ถ้าแยกเลือกตั้ง และประชามติ ออกจากกันโดยคำนึงถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 53 ล้านคน และผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร คาดว่าจะต้องใช้งบฯ 10,000 ล้านบาทนิดๆ แต่เบื้องต้นยังไม่ได้ลงในรายละเอียด นอกจากนี้ อิทธิพร ได้ตอบคำถามสื่อว่า พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่อนุญาตให้มีการออกเสียงประชามติ นอกราชอาณาจักรได้เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้น จะต้องมีการออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักรด้วย ต่อประเด็นที่ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลยืนยันจะทำประชามติยกเลิก MOU43-44 จริงหรือไม่ เนื่องจากมีเสียงคัดค้านจากทางนักวิชาการ โดยอนุทิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตอบในประเด็นนี้ว่า เรื่องนี้อยู่ในเรื่องที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาอยู่แล้ว นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าว The Reporters รายงานด้วยว่า เรื่องการจัดทำประชามติ ยกเลิก MOU 43-44 ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีหรือไม่ แต่ว่ารัฐบาลจะมีการตั้งคณะทำงานนำโดยบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย และภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มาหารือกับ กกต.ต่อไป  * ข่าว * การเมือง * อิทธิพร บุญประคอง * สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง * กกต. * อนุทิน ชาญวีรกูล * บวรศักดิ์ อุวรรณโณ * ภราดร ปริศนานันทกุล * MOU 43-44 * เลือกตั้งปี 2569
dlvr.it
พุทธไทยใต้เงาอำนาจ ‘ปรัชญาพุทธ’ คำตอบการหลุดพ้นที่มากกว่า ‘ศาสนาพุทธ’ | BookBar EP.11 [คลิป]
พุทธไทยใต้เงาอำนาจ ‘ปรัชญาพุทธ’ คำตอบการหลุดพ้นที่มากกว่า ‘ศาสนาพุทธ’ | BookBar EP.11 [คลิป]
พุทธไทยใต้เงาอำนาจ ‘ปรัชญาพุทธ’ คำตอบการหลุดพ้นที่มากกว่า ‘ศาสนาพุทธ’ | BookBar EP.11 [คลิป] hungary budapest Fri, 2025-10-24 - 13:26 ปีนี้วงการสงฆ์มีข่าวฉาวต่อเนื่อง ถ้าเราวางกระแสความเสื่อมศรัทธาเอาไว้ แล้วเพ่งมองให้ละเอียด ปัญหาอยู่ที่กิเลสของนักบวชหรือมีอย่างอื่นที่ใหญ่กว่าข้องเกี่ยวอยู่ #BookBar สนทนากับสุรพศ ทวีศักดิ์ ผ่านมุมมองหนังสือเล่มใหม่ที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์พุทธแบบไทยอย่างที่เป็นมา โดยภายในเล่มนี้เขายังนำเสนอในส่วนของ ‘ปรัชญาพุทธ’ ที่ชวนทะเลาะกับคนอื่นว่า คำสอนพุทธส่วนที่เป็นศาสนาอาจไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้น แต่เป็นคำสอนส่วนที่เป็นปรัชญาต่างหากที่ทำหน้าที่ส่วนนี้ได้ดีกว่า ฟังทั้งหมดได้ทุกช่องทางของ 'ประชาไท'   YouTube :    • พุทธไทยใต้เงาอำนาจ ‘ปรัชญาพุทธ’ คำตอบการหล...   Spotify : https://pct.fyi/podcast-spotify Apple Podcasts : https://pct.fyi/podcast-apple Podbean : https://pct.fyi/podbeen #BookbarPodcast #PrachataiPodcast #BookBar #Prachatai #สุรพศทวีศักดิ์ #หนังสือ #book * สัมภาษณ์ * สังคม * วัฒนธรรม * BookBar * สุรพศ ทวีศักดิ์ * พุทธศาสนา * ปรัชญาพุทธ * พุทธไทย พุทธโลกวิสัย และพุทธปรัชญา
dlvr.it
‘ลิขสิทธิ์’ ดราม่าแบนสำนักพิมพ์ถึง ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’ | BookBar EP.10 [คลิป]
‘ลิขสิทธิ์’ ดราม่าแบนสำนักพิมพ์ถึง ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’ | BookBar EP.10 [คลิป]
‘ลิขสิทธิ์’ ดราม่าแบนสำนักพิมพ์ถึง ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’ | BookBar EP.10 [คลิป] hungary budapest Fri, 2025-10-24 - 13:18 จากกระแสข่าวเรื่องลิขสิทธิ์จนเกิดดราม่าการแบนสำนักพิมพ์ของนักแปลคนหนึ่งไม่ให้ออกบูธในงานมหกรรมหนังสือที่จัดขึ้นในเวลานี้ #BookBar สนทนากับธีรภัทร เจริญสุข เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยหรือ PUBAT ซึ่งกล่าวว่าสำนักพิมพ์ดังกล่าวยังเปิดบูธขายได้ แต่ห้ามขายหนังสือที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไล่เรียงไปถึงกรณี ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกำลังบอกถึงกระแสคลื่นความตื่นตัวด้านลิขสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย ธีรภัทรมองว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยให้วงการหนังสือไทยก้าวสู่ระดับนานาชาติได้อย่างสง่างาม ฟังทั้งหมดได้ทุกช่องทางของ 'ประชาไท'   YouTube :    • ‘ลิขสิทธิ์’ ดราม่าแบนสำนักพิมพ์ถึง ‘หนึ่งร...   Spotify : https://pct.fyi/podcast-spotify Apple Podcasts : https://pct.fyi/podcast-apple Podbean : https://pct.fyi/podbeen #BookbarPodcast #PrachataiPodcast #BookBar #Prachatai #ธีรภัทรเจริญสุข #หนังสือ #book * สัมภาษณ์ * สังคม * วัฒนธรรม * BookBar * Prachatai Podcast * ธีรภัทร เจริญสุข * หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว * ลิขสิทธิ์
dlvr.it
มานุษยวิทยามหาสมุทร: เพราะโลกไม่ได้หมุนรอบตัวใคร | BookBar Ep.9 [คลิป]
มานุษยวิทยามหาสมุทร: เพราะโลกไม่ได้หมุนรอบตัวใคร | BookBar Ep.9 [คลิป]
มานุษยวิทยามหาสมุทร: เพราะโลกไม่ได้หมุนรอบตัวใคร | BookBar Ep.9 [คลิป] hungary budapest Fri, 2025-10-24 - 13:10 "เรามักจะนึกว่ามนุษย์เราเป็นใหญ่ มีศักยภาพเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เรามีความฮึกเหิม มีความทะนงตัวที่จะควบคุมจัดการทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ว่าการมองแบบมนุษยวิทยาพ้นมนุษย์เริ่มทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า จริงๆ แล้วเราไม่สามารถที่จะจัดการควบคุมโลกใบนี้ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ ทำให้เราถ่อมตัวลงมามากขึ้น" . 'มานุษยวิทยามหาสมุทร' ฟังดูเป็นสาขาที่ชวนสงสัยว่าคืออะไร ศึกษาอะไร  BookBar สนทนากับจักรกริช สังขมณี จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชวนให้เราตระหนักว่าการแตกดับของสิ่งหนึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต มนุษย์นั้นเปราะบางและหยิ่งยโสเพียงใด และเล็กจ้อยแค่ไหนเมื่ออยู่ต่อหน้ามหาสมุทร . ฟังทั้งหมดได้ทุกช่องทางของ 'ประชาไท prachatai.com'   . YouTube :    • มานุษยวิทยามหาสมุทร: เพราะโลกไม่ได้หมุนรอบ...   Spotify : https://pct.fyi/podcast-spotify Apple Podcasts : https://pct.fyi/podcast-apple Podbean : https://pct.fyi/podbeen . #BookbarPodcast #PrachataiPodcast #BookBar #Prachatai #มานุษยวิทยามหาสมุทร #จักรกริชสังขมณี #หนังสือ #book * สัมภาษณ์ * สังคม * วัฒนธรรม * สิ่งแวดล้อม * มานุษยวิทยามหาสมุทร * BookBar * Prachatai Podcast * จักรกริช สังขมณี
dlvr.it