'เจน กูดดอลล์' ผู้ปฏิวัติแนวคิดวานรวิทยา ด้วยการค้นพบว่าชิมแปนซีคล้ายมนุษย์มากกว่าที่เคยเชื่อกัน
'เจน กูดดอลล์' ผู้ปฏิวัติแนวคิดวานรวิทยา ด้วยการค้นพบว่าชิมแปนซีคล้ายมนุษย์มากกว่าที่เคยเชื่อกัน
auser15
Tue, 2025-10-14 - 11:36
เจน กูดดอลล์ ผู้บุกเบิกพฤติกรรมวิทยาของวานร ได้เสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้ เธอได้ทิ้งมรดกที่สำคัญไว้ให้กับโลกคือการค้นพบที่ว่า ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมใกล้เคียงกับมนุษย์ในหลายด้าน จากที่เคยเชื่อกันว่าพฤติกรรมหลายๆ อย่างมีแต่ในมนุษย์เท่านั้น ทำให้ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่เคยไร้ปริญญาอย่างเธอ กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ฝ่าฟันในโลกวิทยาศาสตร์ดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยผู้ชาย จนทำให้การค้นพบของเธอเป็นที่ยอมรับได้
ในโลกของวิทยาศาสตร์นั้น เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการข้อมูลใหม่และการค้นพบใหม่ๆ ตลอดเวลา มีความรู้ใหม่ที่มักจะมาแทนที่ความเชื่อเก่าที่ล้าสมัยถึงแม้ว่าความเชื่อเหล่านั้นจะเคยถูกอ้างว่า "เป็นวิทยาศาสตร์" ก็ตาม และหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถฝ่าขนบความเชื่อเก่าๆ จนสามารถพิสูจน์ความรู้ใหม่ได้คือ เจน กูดดอลล์ นักวานรวิทยาและนักมานุษยวิทยา ที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา
เจน กูดดอลล์ จากโลกนี้ไปด้วยวัย 91 ปี เธอเป็นผู้บุกเบิกด้านพฤติกรรมวิทยาวานร คือการเน้นศึกษาพฤติกรรมของสัตว์จำพวกวานรหรือที่เรียกว่า "ไพรเมต" ที่เป็นประเภทหนึ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขั้นสูงสุดอาทิเช่น ลีเมอร์, ลิง และมนุษย์ เธอเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้ศึกษาวิจัยภาคสนามมาเป็นเวลา 60 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรม อารมณ์ สังคมและครอบครัวของชิมแปนซี โดยที่เธอเริ่มศึกษาชุมชนของชิมแปนซีในอุทยานแห่งชาติกอมเบ สตรีม ประเทศแทนซาเนีย มาตั้งแต่ปี 2503
การศึกษาของกูดดอลล์ส่งผลในเชิงปฏิวัติวงการวานรวิทยา หลังจากที่ทำการบันทึกเรื่องอารมณ์ความรู้สึกบุคลิกภาพของชิมแปนซี ก็ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ว่าวานรเหล่านี้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าที่คิด เพราะว่าชิมแปนซีมีคุณลักษณะต่างๆ ที่แต่เดิมเคยเชื่อว่ามีอยู่แต่ในมนุษย์เท่านั้น
ความซับซ้อนทางพฤติกรรมและสังคมของชิมแปนซี
เช่นที่ โรเบิร์ต ซูบริน วิศวกรการบินอวกาศ กล่าวไว้ว่า "วิทยาศาสตร์ไม่ใช่กลุ่มข้อเท็จจริงที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการค้นพบสิ่งใหม่" สิ่งที่กูดดอลล์ ทิ้งไว้ให้โลกเราคือการค้นพบใหม่เกี่ยวกับชิมแปนซี ว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์ซึ่งต่างจากความเชื่อก่อนหน้านี้
กูดดอลล์ค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถประดิษฐ์เครื่องมือและใช้เครื่องมือได้ พวกมันมีการร่วมมือกันล่าเหยื่อ มีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน และมีการผูกสัมพันธ์ทางสังคมที่ยืนยาว มีการวางแผนสู้รบกัน รวมถึงมีการส่งต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ความรู้ใหม่เหล่านี้ได้กลายเป็นการสร้างนิยามใหม่จากเดิมที่มองว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่พิเศษแตกต่างจากสัตว์อื่นมาก เพราะมันทำให้เราทราบว่าชิมแปนซีมีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์อยู่หลายด้าน
"ไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์เราเท่านั้นที่มีบุคลิกภาพ มีความสามารถในการใช้เหตุผล และมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างความสนุกสนานและความเศร้าโศกเสียใจ" กูดดอลล์กล่าวไว้ในตอนที่สำรวจชิมแปนซี
วิธีการที่กูดดอลล์สำรวจวิจัยชิมแปนซีเหล่านี้คือการเข้าไปติดตามสังเกตการณ์ชิมแปนซีด้วยตัวเองในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ทำให้เธอพบว่าท่าทางการกระทำต่างๆ ที่เคยเชื่อว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำ ชิมแปนซีก็ทำด้วย เช่น การกอด, การจูบ, การตบหลังปลอบใจ หรือแม้กระทั่งการจักจะจี้ นอกจากนี้กูดดอลล์ยังพบว่าชิมแปนซีมีการสร้างครอบครัวและชุมชนคล้ายกับมนุษย์ในแบบที่มี "ความใกล้ชิด ช่วยเหลือกันและกัน มีความผูกพันธ์ระหว่างสมาชิกครอบครัวและชิมแปนซีอื่นๆ ในชุมชน ซึ่งดำรงอยู่ยาวนานตลอดอายุขัยมากกว่า 50 ปี ของพวกมัน"
กูดดอลล์ยังได้ล้มล้างความเชื่อทางวิทยาศาสตร์แบบเก่าที่อ้างว่า "มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สร้างและใช้เครื่องมือได้" และความเชื่อที่ว่า "ชิมแปนซีเป็นสัตว์กินพืช"
กูดดอลล์ได้ค้นพบว่าชิมแปนซีนั้นใช้หญ้าเป็นเครื่องมือในการแหย่เข้าไปในรูของจอมปลวก เพื่อที่จะ "ตก" ปลวกในนั้นเอามากิน นอกจากนี้ยังมีการนำกิ่งไม้เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการตกปลวกได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ทั้งนี้กูดดอลล์ก็ยังพบด้านโหดร้ายของชิมแปนซีที่มีการทำสงครามไล่ล่าและกินวานรสปีชีส์ที่เล็กกว่าอย่างลิงโคโลบัส เรื่องนี้กลายเป็นการท้าทายความเชื่อเก่าทางวิทยาศาสตร์ที่มองว่าชิมแปนซีเป็นสัตว์กินพืช และท้าทายความเชื่อเดิมเรื่องพฤติกรรมของพวกมันด้วย
"ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก ตอนที่พบว่าชิมแปนซีก็มีด้านมืดในธรรมชาติของพวกมันอยู่ ฉันเคยคิดว่าพวกมันก็น่าจะคล้ายกับเราแต่ใจดีกว่า" กูดดอลล์เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในเรื่องนี้ เธอบอกอีกว่า "แต่อย่างไรก็ตาม ชิมแปนซีก็ยังได้แสดงให้เห็นคุณลักษณะที่เป็นความรัก, ความเห็นอกเห็นใจ แล้วก็ความเอื้ออาทร ด้วยเช่นกัน"
จากนักสังเกตการณ์ไร้ปริญญา กลายเป็นผู้ทลายกำแพงสายวิทย์ที่มีแต่ผู้ชาย
นอกจากการปฏิวัติล้มล้างความเชื่อวิทยาศาสตร์แบบเก่าแล้ว กูดดอลล์ ยังนับเป็นผู้ที่ทลายกำแพงทางวงการวิทยาศาสตร์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์หญิงด้วย จากที่ในยุคนั้นวงการวิทยาศาสตร์ยังเต็มไปด้วยผู้ชาย และแน่นอนว่ามันก็เต็มไปด้วยอคติดูแคลนต่อผู้หญิงด้วย ทำให้เธอก็ต้องฝ่าฟันอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้วงการยอมรับการค้นพบเรื่องชิมแปนซีของเธอและมองว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง
กูดดอลล์เป็นคนที่ชื่นชอบสัตว์และสนใจเรื่องชีวิตสัตว์ป่ามาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอเคยผ่านช่วงสงคราม เคยทำงานเป็นบริกร ไม่เคยได้เรียนสูงๆ เพื่อมีเครดิตทางวิชาการแบบคนอื่น แต่เธอก็ถูกเลือกโดย ลูอิส ลีคกีย์ นักบรรพมานุษยวิทยาผู้มีชื่อเสียงให้ทำงานร่วมกับเขา จนกระทั่งต่อมาลีคกีย์ก็อนุญาตให้เธอเดินทางไปที่ทาร์แซนเนียด้วยเพื่อศึกษาวานร
การที่กูดดอลล์ไม่ได้มีใบปริญญาหรือการเรียนตามตำรามาก่อน กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีคกีย์เลือกเธอให้เดินทางไปแอฟริกาด้วย เพราะในตอนนั้นเขากำลังต้องการคนที่ "สังเกตการณ์ด้วยใจบริสุทธิ์" ปราศจากอคติแบบลดทอนจากนักพฤติกรรมวิทยาในยุคนั้น
ทำให้เราได้นักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิวัติความเชื่อเก่า และหลังจากที่มีผลงานออกมา กูดดอลล์ก็ได้รับรางวัลหลายอย่างรวมถึงรางวัลผู้ส่งสารสันติภาพจากสหประชาชาติในปี 2545
สหประชาชาติระบุถึงการเสียชีวิตของกูดดอลล์ทางโซเชียลมีเดีย โดยยกย่องว่าเธอเป็นผู้ที่ "ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อโลกของพวกเรา และทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เธอได้ทิ้งมรดกอันแสนวิเศษไว้ให้กับมนุษยชาติและธรรมชาติ"
สถาบัน เจน กูดดอลล์ สหรัฐฯ ประกาศว่ากูดดอลล์เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติในแคลิฟอร์เนียตอนที่กำลังเดินสายกล่าวสุนทรพจน์ตามที่ต่างๆ ในสหรัฐฯ แถลงการณ์ของสถาบันระบุอีกว่า "การค้นพบของกูดดอลล์ในฐานะนักพฤตืกรรมวิทยาได้ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ และเธอก็เป็นผู้ที่รณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งให้มีการคุ้มครองและฟื้นฟูธรรมชาติของโลกเรา"
เรียบเรียงจาก
Conservationist Jane Goodall, whose work revolutionized the study of primates, has died, CNN, 02-10-2025
Jane Goodall, who revolutionised our understanding of animals, dies at 91, ABC News, 02-10-2025
https://en.wikipedia.org/wiki/Jane_Goodall
* ข่าว
* ต่างประเทศ
* วิทยาศาสตร์
* ข่าวมรณกรรม
* เจน กูดดอลล์