ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
700 followers 0 following 2.7K posts
Posts Media Videos Starter Packs
prachatai.com
‘สว.พรชัย-เทวฤทธิ์’ หวังสภารับร่างทุกพรรค ‘สว.พิสิษฐ์’ ตอกร่าง ปชน.เสี่ยงขัด รธน.
‘สว.พรชัย-เทวฤทธิ์’ หวังสภารับร่างทุกพรรค ‘สว.พิสิษฐ์’ ตอกร่าง ปชน.เสี่ยงขัด รธน. See Think Tue, 2025-10-14 - 18:20 14 ต.ค. 2568 ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเริ่มพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สว.เทวฤทธิ์ ชี้รัฐสภาต้องพยายามมากขึ้น เพื่อเปิดประตูบานแรกสู่รัฐธรรมนูญใหม่ ที่ สสร.มาจากการเลือกของประชาชน  ในการประชุมร่วมรัฐสภาเริ่มพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายร่างสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง ทั้งของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เทวฤทธิ์ชี้ว่าการเดินทางในเรื่องนี้ถือเป็นเส้นทางที่ยาวนาน ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมาเรามีความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาโดยตลอดรวม 26 ฉบับ แต่ผ่านเพียง 1 ฉบับเท่านั้น และในจำนวน 25 ฉบับที่ไม่ผ่านนั้นมีถึง 11 ฉบับที่ผ่านเสียงข้างมากของรัฐสภาแต่ไปติดเงื่อนไขที่เสียง สว. หนึ่งในสาม จึงเกิดการนิยามในช่วงก่อนหน้านี้ว่า สว. ชุดที่แล้ว เป็น “องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” แต่สำหรับ สว. ชุดนี้ตนเชื่อมั่นว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโอกาสให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ความพยายามในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ได้เพิ่งเริ่มจากรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2550 ที่เรามีรัฐธรรมนูญซึ่งมาจากการรัฐประหาร และจนถึงวันนี้เรายังไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้สถาปนาด้วยตนเองอย่างแท้จริง ในส่วนของร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามร่างนั้นเนื้อหาในส่วนหลักการไม่ได้ขัดกัน เพราะไม่ได้ไปล็อกประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ว่าจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงหรือไม่ แม้เราอาจมีความกังวลกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีความเห็นเพิ่มเติมในคำวินิจฉัยล่าสุดว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างได้โดยตรง ซึ่งทั้งสามร่างก็พยายามหาทางออกเพื่อไม่ให้ขัดต่อคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐสภาอาจพยายาม “น้อยไปหรือไม่” เพราะความเห็นเพิ่มเติมของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเพียง “ความเห็นแถม” ยังไม่ใช่ประเด็นที่สภาส่งไปให้ศาลวินิจฉัยโดยตรง เมื่อพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดของคำวินิจฉัย จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้บัญญัติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรง ดังนั้นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องทำผ่านการแก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มเติมหมวดที่ 15/1 ซึ่งศาลยังระบุว่า รัฐสภามีอำนาจในการริเริ่มหรือแสดงความต้องการได้ เทวฤทธิ์ยังเห็นว่ารัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือแม้แต่การคืนอำนาจการสถาปนารัฐธรรมนูญให้ประชาชนในการเลือก สสร. ก็ยังสามารถทำได้ เพราะรัฐสภาเป็นเพียง ‘ผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการ’ มิใช่ผู้กระทำฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากพิจารณาจากคำวินิจฉัยฯ จะพบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 2 คนที่ระบุชัดว่าประชาชนไม่สามารถเลือก สสร. ได้โดยตรง อีก 1 คนเห็นพ้องด้วย ส่วนอีก 4 คนไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่าประเด็นดังกล่าวยังเปิดกว้างอยู่ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญในลายลักษณ์อักษรย่อมสำคัญ แต่รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือดุลอำนาจและการคัดง้างกันของอำนาจต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ตนหวังว่าเมื่อเรารับร่างในวาระแรก ซึ่งไม่ได้ปิดล็อกประเด็นเรื่องที่มาของ สสร. จากการเลือกตั้งโดยตรง คณะกรรมาธิการจะเปิดโอกาสให้ประชาชนในฐานะ “ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ในคำวินิจฉัยทั้งสองฉบับได้มีโอกาสเลือก สสร. โดยตรง ตนจึงขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐสภาควรพยายามมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเทวฤทธิ์ยังฝากเพิ่มเติมว่า หากรัฐสภาหรือคณะกรรมาธิการยังมีความไม่มั่นใจเพียงพอก็มีแนวทางหนึ่งที่เคยมีประชาชนกว่า 200,000 คนเข้าชื่อในปี 2566 เสนอคำถามประชามติต่อคณะรัฐมนตรีว่า “ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ท่านประสงค์จะเลือก สสร. โดยตรงหรือไม่” ซึ่งหากจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในครั้งนี้อาจเพิ่มคำถามในการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมได้ นอกจากนี้จนถึงขณะนี้เมื่อตรวจสอบจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประชามติฉบับแก้ไขที่ปลดล็อกทั้งระบบเสียงข้างมากสองชั้น (double majority) หรือการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง ตนจึงขอเรียนถามผู้เสนอร่างฯ ว่า หากต้องทำประชามติภายใต้กฎหมายฉบับเดิมจะมีข้อกังวลหรือประเด็นใดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องกรอบเวลาเดิมที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องมีมติภายใน 90 ถึง 120 วันก่อนวันออกเสียง หากต้องการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งรัฐสภาจะต้องมีมติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายในสิ้นปีนี้ มิฉะนั้นอาจไม่ทันตามกรอบเวลา อีกประเด็นสำคัญคือการออกเสียงทางไปรษณีย์ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งมีระเบียบรองรับเพียงพอหรือไม่ เพราะในการเลือกตั้งปี 2566 มีผู้ลงทะเบียนออกเสียงล่วงหน้านอกเขตกว่า 2 ล้านคน หากจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งประชาชนกลุ่มนี้อาจไม่ได้ใช้สิทธิได้ครบถ้วน ดังนั้นผมเห็นว่าหากจะมีการจัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง รัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้งควรมีความชัดเจนและเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิออกเสียงได้อย่างเท่าเทียม ‘สว.พรชัย’ ทลายทุกมายาคติ รธน.ปราบโกงที่ไม่มีจริง หวังรัฐสภารับร่าง สสร.ทุกพรรค เมื่อเวลา 11.47 น. พรชัย เลิศวิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา ขออภิปรายสนับสนุน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 156 และ 256 ทุกพรรคการเมือง โดยระบุว่า เราเปรียบรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งถ้าดูก็คงเป็นบ้านพิศวง เพราะว่าโครงสร้างบ้านบิดเบี้ยว ต้องแก้ไขโดยด่วน ขณะที่บางฝ่ายบอกว่ารัฐธรรมนูญ เป็นบ้านที่มีผีคุ้มครองจากนักการเมืองโกงๆ มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่อยากจะแก้ ดังนั้น เขาอยากจะมาลองคลี่ข้อเท็จจริงดูปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐธรรมนูญนี้คืออะไร และมายาคดิความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้คืออะไรบ้าง พรชัย กล่าวต่อว่า ปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐธรรมนูญ 2560 มีรากฐานที่บิดเบี้ยว และไร้อำนาจตรวจสอบถ่วงดุลโดยสิ้นเชิง ทำให้บ้านไม่มีเสถียรภาพ โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่ขาดการยึดโยงจากประชาชน แต่ที่มากลับมีอำนาจมากกว่าองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งประชาชน “ส่งผลให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สภาพเหมือนเป็ดง่อย ไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างทันท่วงที ทำให้การพัฒนาประเทศต้องหยุดชะงัก ด้วยกับดักทางกฎหมายที่องค์กรเหล่านี้วางไว้ นี่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ถ่วงดุล แต่กลับถ่วงความเจริญของประเทศเอาไว้” พรชัย กล่าว มายาคติที่ปกป้องบ้านที่บิดเบี้ยว  พรชัย กล่าวว่า มายาคติที่ป้องกันรัฐธรรมนูญ หรือบ้านแห่งนี้ไว้คือการบอกว่า ‘นี่เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง’ ฟังดูดีแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ห้ามให้การทุจริตลดลง ดัชนี CPI ของไทยลดลงต่อเนื่องในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และทำให้เกิดการทุจริตเชิงโยบาย นำไปสู่การทุจริตเชิงตัวบทกฎหมาย และอำนาจ นอกจากนี้ กลไกตรวจสอบไม่ยึดโยงกับประชาชน เช่น ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเครื่องมือตรวจสอบที่ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นกลางเสียเอง มายาคติต่อมา พรชัย กล่าวต่อว่า มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่อยากแก้รัฐธรรมนูญ ที่คือมายาคติที่ดูถูกเจตจำนงของประชาชนอย่างร้ายแรงที่สุด เพราะว่าช่วงที่ผ่านมา ประชาชนคือผู้ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงช่วงที่ผ่านมามากที่สุดโดยตลอด * โครงการ iLaw เมื่อปี 2563 มีประชาชนเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มากกว่า 100,000 รายชื่อ * โครงการ Re-Solution ปี 2564 มีประชาชนเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มากกว่า 1.5 แสนรายชื่อ * โครงการรณรงค์ประชามติ ปี 2566 มีประชาชนเข้าชื่อกว่า 2 แสนรายชื่อ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รัฐธรรมนูญนี้เป็นฉบับแรกและฉบับเดียวในประวัติศาสตร์ ที่มีความพยายามแก้ไขโดยภาคประชาชนจำนวนมหาศาลและหลายครั้งขนาดนี้ จำนวนเหล่านี้ไม่ใช่เสียงของนักการเมือง แต่นี่คือเสียงของประชาชนที่ตะโกนก้องว่า พวกเขาไม่ต้องการบ้านหลังเก่าที่ผุพังโย้เย้ ไร้สมดุลหลังนี้อีกต่อไปแล้ว การเพิกเฉยต่อเสียงเหล่านี้คือการไม่เคารพอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญอันเป็นของปวงชนชาวไทย” พรชัย กล่าว ใครกันแน่ที่ไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ พรชัย ตั้งคำถามต่อว่า ใครกันแน่ที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ? เพราะจากข้อมูลที่เขานำเสนอ มีการนำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา ที่ผ่านสภาฯ แห่งนี้สูงถึง 26 ร่าง พิจารณากัน 5 ยกในช่วงเวลาหลายปี แต่ถูกตีตกไปสูงถึง 25 ร่าง เพราะว่านักการเมืองในสภาฯ แห่งนี้ส่วนใหญ่ไม่โหวตให้ มีเพียงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบที่ผ่านมาเท่านั้นทร่ผ่านมา ยังไม่นับร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่ยื้อกันมาข้ามปี โดยไม่มีผลบังคับใช้ จะแก้ทั้งฉบับ ก็สภาฯ ล่ม 2 รอบมีการวอล์กเอาต์กันวุ่นวาย พูดง่ายๆ ก็คือถ้านักการเมืองมีเจตจำนงอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ก็คงแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ไปได้ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว “จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมา น่าจะสรุปเป็นที่ประจักษ์ได้แล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ปราบโกงแต่อย่างใด เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนอยากเข้าชื่อแก้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่นักการเมืองต่างหากที่เป็นจระเข้ขวางคลองไม่อยากแก้” สว. กล่าว พรชัย กล่าวเปรียบเทียบพิมพ์เขียวของทั้ง 3 ร่าง ซึ่งมีความแตกต่างกันคือที่มาของ สสร. โดยเขาตั้งคำถามกับร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่บอกว่าเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว แต่ก็มีประเด็นน่าสงสัยว่า “สุดท้ายแล้วจะเสี่ยงต่อการแทรกแซงจากรัฐสภาได้ง่ายที่สุด และเสี่ยงการจัดตั้งได้ง่ายที่สุด ไม่ต่างจากการเลือกตั้ง สว.ที่ผ่านมาได้หรือไม่” พรชัย กล่าวต่อว่า ในเรื่องการมีส่วนร่วมของพรรคประชาชน ร่างของ ปชน.ให้ประชาชนเป็นผู้เล่นหลักตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งต่างจากร่างของพรรคภูมิใจไทย แทบจะตัดบทบาทของประชาชนออกไป เหลือเพียงการทำประชามติในตอนสุดท้าย และในมิติของพรรค ปชน. สร้างสมดุลระหว่างผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนพื้นที่ และพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับกลุ่มอาชีพ โดยที่การยึดโยงของประชาชนอาจจะน้อยลง สุดท้าย มิติความโปร่งใสตรวจสอบได้ สสร.ของพรรค ปชน. ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากอีก 2 ร่างจะยึดโยงกับรัฐสภา และองค์กรที่เสนอชื่อเข้ามา สว.พรชัย กล่าวต่อว่า ตอนนี้เรามี 3 ร่างที่แตกต่างกัน คือร่างที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดคือร่าง ปชน. ร่างที่มีรัฐสภามีบทบาทมากที่สุดคือร่างของพรรคภูมิใจไทย และร่างที่ประนีประนอมมากที่สุดคือร่างของพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่ารัฐธรรมนูญ หรือบ้านจะมั่นคงได้ เจ้าของบ้านมีสิทธิเลือกสถาปนิกที่มาออกแบบบ้านได้ด้วยตัวเอง นั่นคือ สสร. ที่ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เขาจึงขอวิงวอนเพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน และคณะกรรมาธิการร่วมของทั้ง 2 สภาฯ ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น โปรดลงมติเปิดประตูที่กว้างที่สุด ในการรับหลักการร่าง 3 ร่างนี้ ให้ประชาชนได้มาเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างแท้จริง  สว.พิสิษฐ์ ตอกร่าง ปชน.เสี่ยงขัด รธน. ถาม หาชื่อพรรคใหม่หรือยัง มติชนออนไลน์รายงานว่าเวลา 13.27 น. พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ส.ว. อภิปรายว่า ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่คิดขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ และเคารพประชาชน 16 ล้านเสียง ที่ลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญปี 2560 ขอเน้นไปที่ร่างพรรคประชาชนที่สุ่มเสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ขอตั้งชื่อว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ใน 6 ประเด็นคือ * มีเจตนาแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และ 2 อย่างชัดเจน สะท้อนผ่านเนื้อหาร่างแก้ไขมาตรา256/26 อนุ 2 ที่ระบุว่า “การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขอถามว่าวันนี้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องมีการให้ใช่หรือไม่ จำเป็นต้องร้องขอพรรคประชาชนให้มีบทบัญญัติเช่นนี้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อไป ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี2560 มาตรา 2 ระบุว่า “ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เหตุใดจึงไม่เขียนว่า “รับรองให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” พรรคประชาชนไม่เข็ดใช่หรือไม่ว่า พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรค เพราะมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายให้สถาบันชำรุดทรุดโทรมหรืออ่อนแอ ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256/25 อนุ2 แสดงเจตนาแก้ไขบทบัญญัติหมวด 1 และ 2 ในรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ได้เตรียมหาชื่อพรรคใหม่หรือยัง การเขียนเช่นนี้มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายอย่างชัดเจน * บันทึกหลักการและเหตุผลร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ระบุว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีปัญหาความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม เป็นการกล่าวหาเสียงประชาชน 16 ล้านคนที่เห็นชอบรัฐธรรมนูญปัจจุบันนิยมเผด็จการ * การให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อาจขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุ รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง อาจเป็นเหตุให้มีผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้รัฐธรรมนูญขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงร่างพรรคเพื่อไทยก็มีความเสี่ยงเช่นกัน * สภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นต้องมีให้สิ้นเปลืองงบประมาณ * คุณสมบัติคณะกรรมาธิการยกร่างและสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ยกเว้นให้ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาลงสมัครได้ กำลังเปิดโอกาสให้ใครบางคนเป็นกรณีพิเศษ หรือหางานทำให้ผู้มีบารมีนอกพรรค ผู้นำจิตวิญญาณของพวกท่านมาเป็นกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ * การลงคะแนนให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสองสภา ปัจจุบันส.ส.มี 500 เสียง ส.ว. 200 เสียง หาก ส.ส.รวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งก็ผ่านรัฐธรรมนูญได้เลย อาจขัดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่เกิดการถ่วงดุล 2 สภา และกำหนดให้พิจารณาวาระเดียว ขัดกับการพิจารณากฎหมายทั่วไปมี 3 วาระ หวังว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คงไม่มีเจตนานำ 2 คำนี้ออกไปคือ 1.ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 2.ไม่มีพฤติกรรมเป็นที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงออกจากรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นคำที่พวกท่านกลัวมากๆ เพียงเพราะช่วยเหลือใครบางคนให้กลับไปเป็นนักการเมืองและรัฐมนตรี   เรื่องที่เกี่ยวข้อง * สภาถกร่างว่าด้วย สสร. 3 ฉบับ โมเดล ปชน.ชูคนส่วนร่วมมากสุด 'พท.' แจงเหตุไม่ล็อกหมวด 1-2   * ข่าว * การเมือง * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สภาร่างรัฐธรรมนูญ * เทวฤทธิ์ มณีฉาย * พรชัย เลิศวิทยเลิศพันธุ์ * พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์
dlvr.it
prachatai.com
วงเสวนาชี้การแก้โลกร้อนจะล้มเหลว หากยังละเลย 'ระบบอาหารที่เป็นธรรม'
วงเสวนาชี้การแก้โลกร้อนจะล้มเหลว หากยังละเลย 'ระบบอาหารที่เป็นธรรม' auser15 Tue, 2025-10-14 - 18:39 เวทีเสวนา “Just Food Transition: Climate Solutions on Our Plate” ชี้การแก้โลกร้อนจะล้มเหลว หากยังละเลย 'ระบบอาหารที่เป็นธรรม' 14 ตุลาคม 2568 องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จัดเวทีเสวนา “Just Food Transition: Climate Solutions on Our Plate” ณ โรงแรม ASAI Bangkok Sathorn ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week เพื่อเตือนสังคมว่าระบบฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม คือหนึ่งในตัวการหลักที่ผลักโลกเข้าสู่วิกฤตภูมิอากาศ และหากยังคงเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนผ่านระบบอาหารที่เป็นธรรม การแก้ไขปัญหาวิกฤติโลกร้อน จะไม่มีทางบรรลุผล ขณะเดียวกัน Bangkok Climate Action Week เองก็มุ่งสร้างระบบนิเวศการลงมือทำด้านสภาพภูมิอากาศที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนเชื่อมโยงกัน และสร้างผลลัพธ์เชิงนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ พร้อมยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และต้นแบบการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค เสียงจากเวทีเสวนา โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายโครงการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “ทุกปีมีสัตว์เกือบ 80,000 ล้านตัวถูกเลี้ยงและฆ่าเพื่อเป็นอาหาร โดยกว่า 70% อยู่ในฟาร์มเชิงอุตสาหกรรมที่โหดร้ายและเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญต่อวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม จากรายงานดัชนีฟาร์มอุตสาหกรรม (Factory Farming Index) ของเราที่กำลังจะปล่อยสู่สาธารณะเร็วๆนี้ ชี้ให้เห็นว่าระบบนี้ขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และหากรัฐบาลแต่ละแห่งไม่สามารถหยุดการขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้ได้ เราจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตโลกร้อน ทุกภาคส่วนต้องทำงานเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านระบบอาหารที่เป็นธรรม มีมนุษยธรรม และยั่งยืนอย่างเร่งด่วน” วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่า “ฟาร์มเชิงอุตสาหกรรมกำลังทำลายรากเหง้าของเราทั้งดิน น้ำ และความหลากหลายทางพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ข้าวโพดที่ปลูกเลี้ยงสัตว์คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่สำคัญของปัญหาดินโคลนถล่ม น้ำท่วม และฝุ่นพิษในภาคเหนือ ขณะเดียวกันพันธุ์หมูและไก่ดั้งเดิมของไทยก็กำลังสูญหาย ถูกผูกขาดโดยเพียง 4 บริษัทใหญ่ทั่วโลก การใช้ยาปฏิชีวนะมหาศาลยิ่งซ้ำเติมจนเราเสี่ยงต่อวิกฤตเชื้อดื้อยา นี่คือหายนะของนิเวศเกษตรที่แท้จริง แต่เงินอุดหนุนปีละกว่าหนึ่งแสนล้านบาทกลับไม่ถึงเกษตรกรรายย่อยเลย ทั้งหมดไหลไปสู่อุตสาหกรรมใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาอุดหนุนเกษตรกรรมยั่งยืน และสร้าง Green Credit ให้เกษตรกรได้ลืมตาอ้าปาก” ศนีกานต์ รศมนตรี ผู้อำนวยการ ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล ในประเทศไทย (Sinergia Animal) กล่าวว่า “วันนี้ในประเทศไทยมีแม่ไก่ไข่กว่า 54 ล้านชีวิตที่ถูกขังในกรงตับแคบ ๆ พื้นที่ภายในเล็กกว่ากระดาษ A4 ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างเช่นกางปีกได้อย่างเต็มที่ ต้องออกไข่วันละ 45 ล้านฟอง นี่คือชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ระบบนี้ยังดำรงอยู่เพราะธนาคารและสถาบันการเงินยังคงปล่อยกู้ให้กับฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม เราจึงต้องร่วมกันผลักดันให้ภาคการเงินหันหลังให้กับความโหดร้าย และหันมาสนับสนุนระบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น ไข่ไก่ไร้กรงและโปรตีนจากพืช ผ่านแคมเปญระดับโลก Stop Financing Factory Farming และ Bank for Animals ที่เรากำลังดำเนินการอยู่” ดร.วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า “ประเทศพัฒนาแล้วสัญญาจะให้เงินช่วยเหลือภูมิอากาศปีละ 100 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับอุดหนุนอุตสาหกรรมการเกษตรที่ทำลายโลกกว่า 470 พันล้านดอลลาร์แทน เงินที่ถึงเกษตรกรรายย่อยมีไม่ถึง 2% และส่วนใหญ่ยังเป็นเงินกู้ นอกจากความไม่เป็นธรรมด้านการเงิน เรายังเห็นทางออกลวงหรือ False Solutions เช่น การซื้อขายคาร์บอน เครดิต Net Zero และ Smart Agriculture ที่ถูกใช้เพื่อฟอกเขียวให้บรรษัทใหญ่ ทั้งที่ปัญหาจริงคือการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่เกินขอบเขต หากเราไม่ Break Free จากทุนผูกขาดและหยุดพึ่งพา False Solutions การเปลี่ยนผ่านก็จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เงินช่วยเหลือด้านภูมิอากาศต้องเป็นเงินให้เปล่า และต้องลงไปถึงผู้หญิง เกษตรกรรายย่อย และชุมชนชายขอบที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ” ระบบอาหารที่ยั่งยืน เริ่มต้นจากความเป็นธรรม เวที Just Food Transition สะท้อนตรงกันว่าทางออกของวิกฤตอาหารและภูมิอากาศอยู่ที่เกษตรกรรายย่อย ไม่ใช่บรรษัทใหญ่ แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทยชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านต้องทำอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อปลดปล่อยเกษตรกรจากวงจรหนี้และทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลจริงในการเลือกอาหาร โดยยกตัวอย่าง โครงการฟาร์มแชมเปี้ยน ที่ดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว ซึ่งพิสูจน์ว่าการทำฟาร์มที่เคารพสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้อย่างเป็นธรรม และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์คือทางออกที่จับต้องได้ ขณะที่ ธวัชชัย พวงจันทร์ จากพลูโตฟาร์ม ย้ำว่าฟาร์มที่ให้สัตว์มีอิสระ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ และทำงานเชื่อมโยงกับชุมชน ควรเป็นโมเดลที่รัฐสนับสนุน แทนการผลักเกษตรกรไปสู่หนี้สินเพิ่ม พงศ์ภูนาถ รุ่งเรือง จากฟาร์มสเตย์ไร่คืนรัง เสริมว่าการยกระดับเกษตรกรรายย่อยให้เป็นฟาร์มแชมเปี้ยนโมเดล เชื่อมโยงกับเกษตรนิเวศ (Agroecology) และศูนย์กลางอาหารท้องถิ่น (local food hub) จะช่วยให้อาหารยั่งยืนไม่ถูกมองว่าเป็นของเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ เช่นเดียวกับ เจนนิเฟอร์ อินเนส-เทลเลอร์ จากอุดรออร์แกนิคฟาร์ม ที่เน้นว่า “ดินดี = อาหารดี = สุขภาพดี” พร้อมชี้ว่าสิ่งจำเป็นที่สุดคือการสร้าง hub ตลาดท้องถิ่นที่ลดคาร์บอน เปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีพลังในการสร้างความต้องการอาหารยั่งยืน ผ่านการเลือกซื้อและการเล่าเรื่องในสังคมออนไลน์ เพื่อผลักดันให้ระบบอาหารที่ยั่งยืนเติบโตต่อไป เวที Bangkok Climate Action Week ครั้งนี้ ตอกย้ำการส่งสัญญาณชัดเจนว่า สังคมไม่อาจนิ่งเฉยต่อวิกฤตภูมิอากาศได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันยังสะท้อนว่าภาคประชาสังคมและเกษตรกรรายย่อยได้ลงมือเปลี่ยนแปลงและผลักดันมาโดยตลอด ความท้าทายที่แท้จริงคือการทำให้เสียงเหล่านี้ถูกนำไปสู่การกำหนดนโยบายของภาครัฐ ผู้นำระดับโลก และเวทีการเจรจา COP เพื่อเร่งผลักดันมาตรการควบคุมบรรษัทขนาดใหญ่ที่ครอบงำระบบอาหารและสร้างผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลก พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้บริโภค และสังคมวงกว้างเกิดการตระหนักและลงมือทำอย่างเร่งด่วน เพื่อพลิกทิศทางสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกชีวิต * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก * องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย * World Animal Protection Thailand
dlvr.it
prachatai.com
เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่เดือนกว่า 'ทศพล เผื่อนอุดม' ถูกโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการ
เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่เดือนกว่า 'ทศพล เผื่อนอุดม' ถูกโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการ auser15 Tue, 2025-10-14 - 17:38 ครม. มีมติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย 45 ราย - 'ทศพล เผื่อนอุดม' เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่เดือนกว่า ถูกโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการ ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดนับตั้งแต่มีผู้ว่าฯ เชียงใหม่ 14 ตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 45 ราย ดังนี้ 1.ให้นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 2.ให้นายโชตินรินทร์ เกิดสม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสงขลา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 3.ให้นายภาสกร บุญญลักษม์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระยอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 4.ให้นายชรินทร์ ทองสุข พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 5.ให้นายชำนาญ ชื่นตา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 6.ให้นายทศพล เผื่อนอุดม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 7.ให้นายศักระ กปิลกาญจน์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสตูล และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 8.ให้นายสมภพ สมิตะสิริ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองคาย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 9.ให้นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระนอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 10.ให้นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาญจนบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง 11.ให้นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง 12.ให้นายสยาม ศิริมงคล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน 13.ให้นายพรพจน์ เพ็ญพาส พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมที่ดิน 14. ให้นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุทัยธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 15.ให้นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 16.ให้นายอังกูร ศีลาเทวากูล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกระบี่ 17.ให้นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสกลนคร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์ 18. ให้นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมที่ดิน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดขอนแก่น 19.ให้นายชูชีพ พงษ์ไชย พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงราย 20.ให้นายรัฐพล นราดิศร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงราย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่ 21.ให้นายพิริยะ ฉันทดิลก พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดสุพรรณบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตราด 22.ให้ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครพนม 23.ให้นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดศรีสะเกษ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา 24.ให้นางสาวชุติพร เสชัง พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครสวรรค์ 25.ให้นายเชษฐา โมสิกรัตน์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี 26.ให้นายวีระพันธ์ ดีอ่อน พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดปราจีนบุรี 27.ให้นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 28.ให้นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพิษณุโลก 29.ให้ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเพชรบุรี 30.ให้นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดภูเก็ต 31.ให้นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำปาง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน 32.ให้นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเพชรบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระยอง 33.ให้นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำพูน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำปาง 34.ให้นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดศรีสะเกษ 35.ให้นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ กระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสกลนคร 36.ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกระบี่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสงขลา 37.ให้นายศุภมิตร ชิณศรี พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครสวรรค์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ 38.ให้นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตราด และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุพรรณบุรี 39.ให้นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัด สุราษฎร์ธานี 40.ให้นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดภูเก็ต และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองคาย 41.ให้นายสุรศักดิ์ อักษรกุล พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองบัวลำภู 42.ให้นายนที มนตริวัต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชัยนาท และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอ่างทอง 43.ให้นายสันติ รังษิรุจิ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดฉะเชิงเทรา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุตรดิตถ์ 44.ให้นายสมบัติ ไตรศักดิ์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสิงห์บุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุทัยธานี 45.ให้นายณรงค์ เทพเสนา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป * ข่าว * การเมือง * ทศพล เผื่อนอุดม * เชียงใหม่ * กระทรวงมหาดไทย
dlvr.it
prachatai.com
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ แถลงขอยืนเคียงข้าง 'อังคณา นีละไพจิตร'
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ แถลงขอยืนเคียงข้าง 'อังคณา นีละไพจิตร' auser15 Tue, 2025-10-14 - 17:03 ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ เรายืนข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เรายืนเคียงข้าง 'อังคณา นีละไพจิตร' 14 ตุลาคม 2569 ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ "เรายืนข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เรายืนเคียงข้าง 'อังคณา นีละไพจิตร'" ระบุว่าในเวลาที่ความกลัวถูกปลอมเป็นความรักชาติ และความเกลียดชังถูกแต่งให้เป็นหน้าที่พลเมือง สังคมบางส่วนกลับหันไปโจมตีสมาชิกวุฒิสภาอิสระและผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่ง อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงกล้าหาญที่เพียงทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของเธอ ตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากล ด้วยความสุจริตใจ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน อังคณารู้ดีว่าการพูดในยามนี้คือการ “สวนกระแส” แต่เธอก็เลือกพูด เพราะเธอเชื่อในศักดิ์ศรีของความจริง แม้ในวันที่อำนาจรัฐโหดร้ายกับครอบครัวนีละไพจิตรเพียงใด เธอยังคงยืนอยู่ฝ่ายของความถูกต้อง แม้ต้องอยู่ลำพัง เธอไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง เธอพูดเพื่อปกป้องสิทธิของเราทุกคน เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเรื่องของนักกฎหมาย เอ็นจีโอหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่มันอยู่ในลมหายใจและในชีวิตประจำวันของเราทุกคน สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกคุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สิทธิของพลเมืองที่จะตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ ทหาร และทุน หรือแม้กระทั่งอินฟลูเอนเซอร์ และสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหวาดกลัวและมั่งคงปลอดภัย การตั้งคำถามต่ออำนาจ คือหัวใจของประชาธิปไตย การตั้งคำถามต่ออำนาจ ไม่ใช่การล้ำเส้นโดยเฉพาะอำนาจรัฐ หากคือการท้าทายอำนาจรัฐที่ละเลยความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเมื่อรัฐไม่รับผิด ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ต้องลุกขึ้นถาม การตั้งคำถามคือรูปแบบสูงสุดของความรับผิดชอบพลเมือง และคือหนทางเดียวที่เราจะรักษาความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ไว้ได้ เราตั้งคำถามกับอังคณา นีละไพจิตรในฐานะสมาชิกวุฒิสภาได้ แต่เราไม่สามารถสร้างความเกลียดชังได้ เมื่อความรักชาติถูกบิดให้กลายเป็นอาวุธ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประชาชนตื่นตัวต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่เมื่อเราตื่นตัว เราต้องถามว่า เรากำลังตื่นตัวเพื่อแก้ปัญหาด้วยสติ หรือช่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอปลุกความเกลียดชัง? ลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกปั่นในวันนี้ กำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความเกลียดชังในใจผู้คน เมื่อเราปลูกความเกลียด เราก็เก็บเกี่ยวแต่ความรุนแรง เมื่อเราหล่อเลี้ยงการแบ่งแยก เราก็ทำลายรากของความยุติธรรมและสันติภาพด้วยมือของเราเอง เราต้องถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่า เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแบบใดให้เติบโตในใจของเราเองหรือผู้คนในสังคม? ถ้าเราสร้างสังคมที่เติบโตบนความเกลียดชัง เราก็จะอยู่ในความเกลียดชังนั้นเอง แต่ถ้าเราปลูกวัฒนธรรมของความเข้าใจ ความยุติธรรม และความห่วงใยต่อกัน เราก็จะได้สังคมที่กล้ายืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ความรักชาติที่อาจมีคุณค่าได้ ไม่ได้วัดจากเสียงโห่ร้องของความเกลียดชัง แต่จากความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต แม้ในวันที่ชาติสั่นคลอน ประเทศไทยมีพันธกรณีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศหลายฉบับ รวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ซึ่งกำหนดให้ทุกฝ่าย ต้องเคารพศักดิ์ศรีของพลเรือน และจำกัดผลกระทบของความรุนแรง เพราะแม้ในยามที่มนุษย์ต้องต่อสู้กัน เรายังต้องไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปกับความขัดแย้ง บทเรียนจากรวันดา: เมื่อความมั่นคงของชาติกลืนศักดิ์ศรีมนุษย์ ปี 1994 ขบวนการ “ฮูตู พาวเวอร์” ในรวันดา ปลุกระดมความเกลียดชัง โดยอ้างว่าเป็น “การปกป้องชาติ” จากชนกลุ่มน้อยทุตซี ไม่ถึงร้อยวัน มีผู้ถูกสังหารกว่า 800,000 คน เพียงเพราะเกิดผิดชาติพันธุ์ รวันดา คือบทเรียนของมนุษยชาติ: ว่าความมั่นคงของรัฐไม่อาจมาก่อนความมั่นคงของชีวิต และความเงียบของโลกในเวลานั้น คือบาดแผลที่ยังไม่สมานจนทุกวันนี้ ความรักชาติที่แท้จริง ไม่อาจตั้งอยู่บนซากศพของเพื่อนมนุษย์ การปกป้องประเทศจะไร้ค่า หากไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของทุกชีวิต เสียงของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากทั่วประเทศ “อินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย การสื่อสารที่ปลุกปั่นความคลั่งชาติเป็นภัยต่อสังคมต้องหยุดตั้งแต่ต้น” “คนไทยหรือกัมพูชา เราคือมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิอยู่ในสันติภาพ ปลอดภัยจากความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ” “ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้ประชาชนทั้งสองประเทศต้องเกลียดชังและรับเคราะห์ จากความขัดแย้งที่เกิดจากผลประโยชน์และอำนาจของผู้ปกครองเอง” “สงครามและความขัดแย้งนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด การจัดการความขัดแย้งควรมุ่งสู่การยุติอย่างสันติ โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสียทุกรูปแบบ” ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย · ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย กองทัพ และองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเร่งด่วน โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชนทันทีรัฐต้องเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) · ยุติการใช้วาทกรรมชาตินิยม และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่สร้างความเกลียดชัง และต้องปกป้องศักดิ์ศรีของพลเรือนทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย ถ้อยแถลงต่อสื่อมวลชน · เราขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงรายงานอย่างรอบด้าน ยึดมั่นในจรรยาบรรณ และไม่ขยายวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง สื่อที่มีเกียรติไม่ใช่สื่อที่ปลุกปั่นความกลัว แต่คือสื่อที่กล้าปกป้องสติของสังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน “หน้าที่ของสื่อคือการส่องแสง ไม่ใช่ขยายความมืดมิด” พลังของประชาชนคือพลังที่งดงามเสมอหากเราเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และประชาธิปไตย เราขอให้ประชาชนใช้พลังนั้น ไปตั้งคำถามกับอำนาจที่เรามอบให้ ทำไมประชาชนยังเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ไม่ได้ 100%? ทำไมประชาชนจึงไม่มีสิทธิแก้รัฐธรรมนูญได้ทุกหมวด ทุกมาตรา? ทำไมเศรษฐกิจยังคงล้มเหลว ขณะที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นและผู้คนต้องฆ่าตัวตาย? และทำไมความขัดแย้งในบ้านเมืองและที่ชายแดนจึงยังไม่คลี่คลายเสียที? หรือกรณีการซื้อหุ้นบางจาก เป็นการฟอกเงินของอดีตนายกฮุน เซน และของคุณทักษิณ ชินวัตร หรือไม่? รัฐมนตรีอย่างคุณธรรมนัส ผู้ที่สื่อรายงานว่าสนิทชิดเชื้อกับอินฟลูเอนเซอร์ดังกล่าว มีส่วนหรือไม่? และทั้งหมดนี้เกี่ยวพันอย่างไรกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่ปล้นทรัพยากรและศักดิ์ศรีของประชาชนที่ด่านขุนทดและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้างและประเทศชาติหรือไม่? เราขอให้รัฐตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความจริง และเราขอให้ประชาชนใช้พลังของตนเอง ตั้งคำถามเหล่านี้ต่อไป ด้วยความกล้าหาญและมีสติ เพราะประชาชนไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดในความเงียบหรือความเกลียดชัง แต่คือเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิรู้ มีสิทธิถาม และมีสิทธิเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง บทเรียนจาก 14 ตุลาคม: ประชาชนคือหัวใจของชาติ การตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของอุดมคติทางการเมืองไทยสมัยใหม่ ในวันที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นตั้งคำถามต่ออำนาจ สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า อำนาจรัฐจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อประชาชนกล้ายืนหยัดในศักดิ์ศรีของตนเอง เราผ่านความเจ็บปวดของเหตุการณ์ 14 ตุลาคมมาแล้ว และบทเรียนนั้นยังเตือนเราอยู่ทุกวันว่าความเข้มแข็งของชาติไม่ได้มาจากความเงียบ แต่มาจากสังคมที่ยอมรับการตรวจสอบของประชาชนบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบร่วมกัน ชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชาติที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คือชาติที่กล้ายอมรับความจริง และลุกขึ้นแก้ไขด้วยศักดิ์ศรี เราขอประกาศอีกครั้ง เรายืนเคียงข้าง อังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยในทุกถ้อยคำของพวกเธอและเขา แต่เพราะเรายืนข้างหลักการเดียวกัน ว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และความจริง ความมั่นคงที่แท้จริงไม่อาจตั้งอยู่บนความกลัว สันติภาพไม่อาจเกิดจากการปลุกความเกลียดชัง และความยุติธรรมไม่อาจบังเกิด หากรัฐและผู้มีอำนาจไม่ยอมรับความรับผิดชอบของตนเอง หมายเหตุ : ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือขบวนเคลื่อนไหวรากหญ้าที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงจากชุมชนซึ่งต่อสู้ในเรื่องต่างๆ ถึง 19 ประเด็นจากทั่วประเทศ พวกเราคือแม่ คนทำงานดูแล ชนเผ่าพื้นเมือง คนชนบทและคนจนเมือง แรงงานสิ่งทอ แรงงานไร้ที่ดินทำกิน พนักงานบริการ และเยาวชนนักกิจกรรม ที่ทุ่มเทเพื่อดูแลรักษาชีวิต ผืนดิน และวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชน เราลุกขึ้นสู้เพื่อที่ดิน ที่อยู่อาศัย เราต่อต้านการทำเหมืองแร่และโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ เราเรียกร้องสิทธิและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้แก่ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงพิการ รวมทั้งให้การสนับสนุนแก่ผู้หญิงในพื้นที่ความขัดแย้งสามจังหวัดภาคใต้ของไทยและในพม่า เราเรียกร้องค่าตอบแทนแม่และคนทำงานดูแล (Care Income)   * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย * อังคณา นีละไพจิตร
dlvr.it
prachatai.com
กลุ่มทวงคืนช้างไทย เรียกร้องติดตามช้างไทยในศรีลังกากลับสู่มาตุภูมิ
กลุ่มทวงคืนช้างไทย เรียกร้องติดตามช้างไทยในศรีลังกากลับสู่มาตุภูมิ auser15 Tue, 2025-10-14 - 16:43 กลุ่มทวงคืนช้างไทย ยื่นหนังสือร้องเรียนผ่านกมธ.-สส. ขอใช้กลไกสภาฯ ติดตามช้างไทยในศรีลังกากลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพ ห่วงถูกนำไปใช้งานหนัก-ถูกทารุณกรรม 14 ตุลาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นายสฤษดิ์ บุตรเนียร รองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน รวมทั้งมาตรการเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สภาผู้แทนราษฎรพร้อมด้วยนายนิติพล ผิวเหมาะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน รับหนังสือจากนางสาวยุวนุช เกียรติวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มทวงคืนช้างไทย และคณะ เพื่อขอทวงคืนช้างไทยในประเทศศรีลังกา สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลไทยในสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปี 2523 และรัฐบาลสมัยนายชวน หลีกภัย ปี 2544 ได้ทำการส่งช้างไทย ซึ่งเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของชาติไปที่ประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และมีการส่งช้างไปจำนวนหลายเชือก โดยไม่มีการทำสัญญาข้อตกลงใด ๆ เพื่อปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของช้างไทย และไม่มีข้อตกลงในการดูแลตามหลักสวัสดิภาพสากลของโลก ซึ่งมีภาพปรากฏตามสื่อมวลชนว่ามีภาพช้างไทยถูกทารุณกรรมในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งนำช้างไทยไปให้เอกชน (วัด) ใช้หาเงิน และเมื่อวัดนำไปใช้เดินรณรงค์งานประเพณีที่มีการนำเอาไฟมาประดับตามตัว ทำให้ช้างได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส รวมถึงการนำช้างไปลากไม้ ถ่ายโฆษณา เล่นภาพยนตร์ ยืนรับเงินบริจาคให้คนลอดใต้ท้อง และใช้งานอื่น ๆ ซึ่งไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ขอมายังประเทศไทย ภาพการทารุณกรรมที่เป็นประจักษ์ในสายตาของคนทั่วโลกทำให้คนรักสัตว์ทั่วโลกต่างประณามการทารุณกรรมช้างดังกล่าว ทั้งนี้ มีช้าง 2 เชือก คือ พลายประตูผาและพลายศรีณรงค์ ที่มีอายุมากแล้ว ควรได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์ทรมานเหล่านั้น กลุ่มทวงคืนช้างไทย จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ และ สส. ดำเนินการหาแนวทางนำช้างไทยกลับสู่มาตุภูมิอย่างภาคภูมิ ด้านนายสฤษดิ์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า คณะกรรมาธิการฯ จะเร่งดำเนินการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทวงคืนช้างไทยให้กลับมายังมาตุภูมิโดยสวัสดิภาพ * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * กลุ่มทวงคืนช้างไทย * ศรีลังกา * ช้าง
dlvr.it
prachatai.com
ครม. เห็นชอบงบกลางฯ 455 ล้านบาท จัดซีเกมส์-อาเซียนพาราเกมส์
ครม. เห็นชอบงบกลางฯ 455 ล้านบาท จัดซีเกมส์-อาเซียนพาราเกมส์ auser15 Tue, 2025-10-14 - 16:07 ครม. เห็นชอบงบกลางฯ 455 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดซีเกมส์-อาเซียนพาราเกมส์ 14 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมีมติเห็นชอบการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) วงเงินงบประมาณ 455,962,200 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอประกอบด้วย 1. ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 166,282,000 บาทรายละเอียด ดังนี้ 1.1 จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 147,953,000 บาท 1.2 จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 14,683,500 บาท 1.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธี เปิด - ปิด/เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,645,500 บาท 2. ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท 3. ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีด ของนักกีฬาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 259,680,200 บาท โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดหารายได้จากการแข่งขัน ตลอดจนการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านให้ครอบคลุมในทุกมิติ รวมถึงสถานการณ์หรือผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยในการจัดการแข่งขันด้วย และเพื่อให้การจัดการแข่งขัน กีฬาซีเกมส์และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ฯ เกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน แนวทาง กลยุทธ์และเป้าหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการจัดงานในครั้งนี้ให้สำนักงบประมาณทราบด้วย โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมอาเซียน ผ่านการถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนนานาชาติ ให้เห็นถึง ศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสามารถสร้างรายได้ ให้กับประเทศเกิดการหมุนเวียนในระบบ (2) แสดงความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกีฬาอีกทั้งยังสร้างชื่อเสียง ในฐานะเป็นประเทศที่มีการจัดกิจกรรมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการจัดกิจกรรมกีฬาและการแข่งขันกีฬาทุกระดับเพิ่มขึ้น (3) สร้างแรงบันดาลใจให้นักกีฬาไทย และเยาวชนที่รักการออกกำลังกาย และแข่งขันกีฬา มีความมุ่งมั่นใฝ่ฝันที่จะก้าวมาเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย สร้างแรงกระตุ้นในการมีส่วนร่วมและความภูมิใจของประชาชนชาวไทย ในการที่ประเทศไทยได้เป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) (4) ประเทศไทยและนักกีฬา ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าเหรียญทอง โดยมีเป้าหมายเหรียญรางวัลในการแข่งขันฯ ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ 252 เหรียญทอง และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ 233 เหรียญทอง (5) ประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวน 5,285,000,000 บาท * ข่าว * การเมือง * ซีเกมส์ * อาเซียนพาราเกมส์
dlvr.it
prachatai.com
'เจน กูดดอลล์' ผู้ปฏิวัติแนวคิดวานรวิทยา ด้วยการค้นพบว่าชิมแปนซีคล้ายมนุษย์มากกว่าที่เคยเชื่อกัน
'เจน กูดดอลล์' ผู้ปฏิวัติแนวคิดวานรวิทยา ด้วยการค้นพบว่าชิมแปนซีคล้ายมนุษย์มากกว่าที่เคยเชื่อกัน auser15 Tue, 2025-10-14 - 11:36 เจน กูดดอลล์ ผู้บุกเบิกพฤติกรรมวิทยาของวานร ได้เสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้ เธอได้ทิ้งมรดกที่สำคัญไว้ให้กับโลกคือการค้นพบที่ว่า ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมใกล้เคียงกับมนุษย์ในหลายด้าน จากที่เคยเชื่อกันว่าพฤติกรรมหลายๆ อย่างมีแต่ในมนุษย์เท่านั้น ทำให้ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่เคยไร้ปริญญาอย่างเธอ กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ฝ่าฟันในโลกวิทยาศาสตร์ดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยผู้ชาย จนทำให้การค้นพบของเธอเป็นที่ยอมรับได้ ในโลกของวิทยาศาสตร์นั้น เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการข้อมูลใหม่และการค้นพบใหม่ๆ ตลอดเวลา มีความรู้ใหม่ที่มักจะมาแทนที่ความเชื่อเก่าที่ล้าสมัยถึงแม้ว่าความเชื่อเหล่านั้นจะเคยถูกอ้างว่า "เป็นวิทยาศาสตร์" ก็ตาม และหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถฝ่าขนบความเชื่อเก่าๆ จนสามารถพิสูจน์ความรู้ใหม่ได้คือ เจน กูดดอลล์ นักวานรวิทยาและนักมานุษยวิทยา ที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจน กูดดอลล์ จากโลกนี้ไปด้วยวัย 91 ปี เธอเป็นผู้บุกเบิกด้านพฤติกรรมวิทยาวานร คือการเน้นศึกษาพฤติกรรมของสัตว์จำพวกวานรหรือที่เรียกว่า "ไพรเมต" ที่เป็นประเภทหนึ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขั้นสูงสุดอาทิเช่น ลีเมอร์, ลิง และมนุษย์ เธอเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้ศึกษาวิจัยภาคสนามมาเป็นเวลา 60 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรม อารมณ์ สังคมและครอบครัวของชิมแปนซี โดยที่เธอเริ่มศึกษาชุมชนของชิมแปนซีในอุทยานแห่งชาติกอมเบ สตรีม ประเทศแทนซาเนีย มาตั้งแต่ปี 2503 การศึกษาของกูดดอลล์ส่งผลในเชิงปฏิวัติวงการวานรวิทยา หลังจากที่ทำการบันทึกเรื่องอารมณ์ความรู้สึกบุคลิกภาพของชิมแปนซี ก็ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ว่าวานรเหล่านี้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าที่คิด เพราะว่าชิมแปนซีมีคุณลักษณะต่างๆ ที่แต่เดิมเคยเชื่อว่ามีอยู่แต่ในมนุษย์เท่านั้น ความซับซ้อนทางพฤติกรรมและสังคมของชิมแปนซี เช่นที่ โรเบิร์ต ซูบริน วิศวกรการบินอวกาศ กล่าวไว้ว่า "วิทยาศาสตร์ไม่ใช่กลุ่มข้อเท็จจริงที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการค้นพบสิ่งใหม่" สิ่งที่กูดดอลล์ ทิ้งไว้ให้โลกเราคือการค้นพบใหม่เกี่ยวกับชิมแปนซี ว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์ซึ่งต่างจากความเชื่อก่อนหน้านี้ กูดดอลล์ค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถประดิษฐ์เครื่องมือและใช้เครื่องมือได้ พวกมันมีการร่วมมือกันล่าเหยื่อ มีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน และมีการผูกสัมพันธ์ทางสังคมที่ยืนยาว มีการวางแผนสู้รบกัน รวมถึงมีการส่งต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ความรู้ใหม่เหล่านี้ได้กลายเป็นการสร้างนิยามใหม่จากเดิมที่มองว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่พิเศษแตกต่างจากสัตว์อื่นมาก เพราะมันทำให้เราทราบว่าชิมแปนซีมีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์อยู่หลายด้าน "ไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์เราเท่านั้นที่มีบุคลิกภาพ มีความสามารถในการใช้เหตุผล และมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างความสนุกสนานและความเศร้าโศกเสียใจ" กูดดอลล์กล่าวไว้ในตอนที่สำรวจชิมแปนซี วิธีการที่กูดดอลล์สำรวจวิจัยชิมแปนซีเหล่านี้คือการเข้าไปติดตามสังเกตการณ์ชิมแปนซีด้วยตัวเองในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ทำให้เธอพบว่าท่าทางการกระทำต่างๆ ที่เคยเชื่อว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำ ชิมแปนซีก็ทำด้วย เช่น การกอด, การจูบ, การตบหลังปลอบใจ หรือแม้กระทั่งการจักจะจี้ นอกจากนี้กูดดอลล์ยังพบว่าชิมแปนซีมีการสร้างครอบครัวและชุมชนคล้ายกับมนุษย์ในแบบที่มี "ความใกล้ชิด ช่วยเหลือกันและกัน มีความผูกพันธ์ระหว่างสมาชิกครอบครัวและชิมแปนซีอื่นๆ ในชุมชน ซึ่งดำรงอยู่ยาวนานตลอดอายุขัยมากกว่า 50 ปี ของพวกมัน" กูดดอลล์ยังได้ล้มล้างความเชื่อทางวิทยาศาสตร์แบบเก่าที่อ้างว่า "มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สร้างและใช้เครื่องมือได้" และความเชื่อที่ว่า "ชิมแปนซีเป็นสัตว์กินพืช" กูดดอลล์ได้ค้นพบว่าชิมแปนซีนั้นใช้หญ้าเป็นเครื่องมือในการแหย่เข้าไปในรูของจอมปลวก เพื่อที่จะ "ตก" ปลวกในนั้นเอามากิน นอกจากนี้ยังมีการนำกิ่งไม้เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการตกปลวกได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ทั้งนี้กูดดอลล์ก็ยังพบด้านโหดร้ายของชิมแปนซีที่มีการทำสงครามไล่ล่าและกินวานรสปีชีส์ที่เล็กกว่าอย่างลิงโคโลบัส เรื่องนี้กลายเป็นการท้าทายความเชื่อเก่าทางวิทยาศาสตร์ที่มองว่าชิมแปนซีเป็นสัตว์กินพืช และท้าทายความเชื่อเดิมเรื่องพฤติกรรมของพวกมันด้วย "ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก ตอนที่พบว่าชิมแปนซีก็มีด้านมืดในธรรมชาติของพวกมันอยู่ ฉันเคยคิดว่าพวกมันก็น่าจะคล้ายกับเราแต่ใจดีกว่า" กูดดอลล์เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในเรื่องนี้ เธอบอกอีกว่า "แต่อย่างไรก็ตาม ชิมแปนซีก็ยังได้แสดงให้เห็นคุณลักษณะที่เป็นความรัก, ความเห็นอกเห็นใจ แล้วก็ความเอื้ออาทร ด้วยเช่นกัน" จากนักสังเกตการณ์ไร้ปริญญา กลายเป็นผู้ทลายกำแพงสายวิทย์ที่มีแต่ผู้ชาย นอกจากการปฏิวัติล้มล้างความเชื่อวิทยาศาสตร์แบบเก่าแล้ว กูดดอลล์ ยังนับเป็นผู้ที่ทลายกำแพงทางวงการวิทยาศาสตร์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์หญิงด้วย จากที่ในยุคนั้นวงการวิทยาศาสตร์ยังเต็มไปด้วยผู้ชาย และแน่นอนว่ามันก็เต็มไปด้วยอคติดูแคลนต่อผู้หญิงด้วย ทำให้เธอก็ต้องฝ่าฟันอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้วงการยอมรับการค้นพบเรื่องชิมแปนซีของเธอและมองว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง กูดดอลล์เป็นคนที่ชื่นชอบสัตว์และสนใจเรื่องชีวิตสัตว์ป่ามาตั้งแต่เด็กแล้ว เธอเคยผ่านช่วงสงคราม เคยทำงานเป็นบริกร ไม่เคยได้เรียนสูงๆ เพื่อมีเครดิตทางวิชาการแบบคนอื่น แต่เธอก็ถูกเลือกโดย ลูอิส ลีคกีย์ นักบรรพมานุษยวิทยาผู้มีชื่อเสียงให้ทำงานร่วมกับเขา จนกระทั่งต่อมาลีคกีย์ก็อนุญาตให้เธอเดินทางไปที่ทาร์แซนเนียด้วยเพื่อศึกษาวานร การที่กูดดอลล์ไม่ได้มีใบปริญญาหรือการเรียนตามตำรามาก่อน กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีคกีย์เลือกเธอให้เดินทางไปแอฟริกาด้วย เพราะในตอนนั้นเขากำลังต้องการคนที่ "สังเกตการณ์ด้วยใจบริสุทธิ์" ปราศจากอคติแบบลดทอนจากนักพฤติกรรมวิทยาในยุคนั้น ทำให้เราได้นักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิวัติความเชื่อเก่า และหลังจากที่มีผลงานออกมา กูดดอลล์ก็ได้รับรางวัลหลายอย่างรวมถึงรางวัลผู้ส่งสารสันติภาพจากสหประชาชาติในปี 2545 สหประชาชาติระบุถึงการเสียชีวิตของกูดดอลล์ทางโซเชียลมีเดีย โดยยกย่องว่าเธอเป็นผู้ที่ "ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อโลกของพวกเรา และทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เธอได้ทิ้งมรดกอันแสนวิเศษไว้ให้กับมนุษยชาติและธรรมชาติ" สถาบัน เจน กูดดอลล์ สหรัฐฯ ประกาศว่ากูดดอลล์เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติในแคลิฟอร์เนียตอนที่กำลังเดินสายกล่าวสุนทรพจน์ตามที่ต่างๆ ในสหรัฐฯ แถลงการณ์ของสถาบันระบุอีกว่า "การค้นพบของกูดดอลล์ในฐานะนักพฤตืกรรมวิทยาได้ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ และเธอก็เป็นผู้ที่รณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งให้มีการคุ้มครองและฟื้นฟูธรรมชาติของโลกเรา" เรียบเรียงจาก Conservationist Jane Goodall, whose work revolutionized the study of primates, has died, CNN, 02-10-2025 Jane Goodall, who revolutionised our understanding of animals, dies at 91, ABC News, 02-10-2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Jane_Goodall * ข่าว * ต่างประเทศ * วิทยาศาสตร์ * ข่าวมรณกรรม * เจน กูดดอลล์
dlvr.it
prachatai.com
เตรียม 'รื้อ-ย้าย' ชุมชนริมแม่น้ำสาย จ.เชียงราย สร้างแนวป้องกันน้ำท่วม
เตรียม 'รื้อ-ย้าย' ชุมชนริมแม่น้ำสาย จ.เชียงราย สร้างแนวป้องกันน้ำท่วม auser15 Tue, 2025-10-14 - 11:22 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อติดตามการแก้ปัญหาน้ำท่วมและรื้อย้ายชุมชนริมแม่น้ำสาย เพื่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม งบประมาณ 3,400 ล้านบาท Thai PBS รายงานว่า  เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อติดตามการแก้ปัญหาน้ำท่วมและรื้อย้ายชุมชนริมแม่น้ำสาย หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านว่า ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ และต้องการความชัดเจนถึงมาตรการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบอาจต้องมีการรื้อย้ายบ้านเรือนของชาวบ้านเพื่อสร้างแนวพนังป้องกันน้ำท่วม น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะ ได้ลงพื้นที่บริเวณชุมชนเกาะทราย เพื่อดูผลกระทบการวางแนวป้องกันบิ๊กแบ็ก กระทบบ้านเรือนและการเข้าออกของชุมชน พร้อมกับร่วมรับฟังปัญหาจากชาวบ้านบริเวณชุมชนเกาะทราย ตลาดสายลมจอย และชุมชนหัวฝาย ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ซึ่งทั้ง 3 ชุมชนที่ลงพื้นที่อาจต้องถูกรื้อถอนและย้ายบ้านเรือนของชาวบ้านไปอยู่ในที่อยู่แห่งใหม่ ตามการออกแบบของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น อย่างน้อย 3 เวที ในช่วงบ่ายได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เทศบาลตำบลแม่สาย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ก่อนที่ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะให้หน่วยงานและประชาชนได้แสดงความเห็น นายณัฐพล ต้นแก้ว วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงแผนศึกษาออกแบบฯ ตอนนี้ได้รับงบประมาณ 24 ล้านบาท จากคณะรัฐมนตรีจ้างบริษัทที่ปรึกษาคาดว่าจะลงนามบริษัทที่ปรึกษาได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาน้ำหลากและอุทกภัยดินโคลน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยจะศึกษา 2 ระบบ คือ ระบบป้องกันน้ำหลาก จากแม่น้ำสายไม่ให้เข้าพื้นที่ตัวเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ ระบบที่สอง คือ จัดให้มีระบบการระบายน้ำในเมืองเพื่อระบายน้ำออกให้ได้เร็วที่สุด ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 บริษัทที่ปรึกษาได้ออกแบบเป็น 3 แนวทางแก้ปัญหา คือ ถนนป้องกันน้ำท่วมจะยกระดับและมีถนนอยู่ด้านบน โดยทั้ง 3 แนวทางจะไปแนวทางเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันในถนน เช่น พื้นที่เศรษฐกิจจะมีถนนเดิมและถนนใหม่ เมื่อถึงด่านแห่งที่สองจะมีถนนเดิมอย่างเดียว แนวทางการแก้ปัญหาน้ำหลากอุทกภัยโคลนและปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่เขตชุมชนแม่สายแบบยั่งยืนในพื้นที่มีการจำแนกที่ดินเอกมีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือเป็นที่ราชพัสดุ หรือสถานที่ราชการ มีการจำแนกไว้หมด โดยจะมีจำนวนหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบในการทำคันกั้นน้ำ จะย้ายหรือดำเนินการต่อไปจะเป็นขั้นตอนในการดำเนินการต่อไปซึ่งเป็นแนวคิดซึ่งทางที่ปรึกษาจะนำไปรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่อีกครั้งซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ร่างขึ้น น.ส.จันทร์สม เป็นตาธรรม ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย กล่าวว่า แนวริมแม่น้ำที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา มี 14 ราย ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมีการบอกเลิกสัญญาเช่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเหลืออีกประมาณ 40 หลังคาเรือนที่อยู่ในโครงการขั้นตอนของการศึกษา "การที่ดูแลหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามเงื่อนไขของกฎหมายที่ราชพัสดุจะไม่มีการชดเชยไม่มีการเยียวยาใดๆทั้งสิ้นตามเงื่อนไขสัญญาเช่า" ในกลุ่มผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจะให้ยื่นคำขอแจ้งความประสงค์ไว้และนำเสนอเรื่องนี้ผ่านไปที่จังหวัดเชียงรายเพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลให้กับคณะกรรมการที่ศึกษาแนวทางกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหรือย้าย นายนิวัติ มีวรรณสุขสกุล เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย กล่าวว่าพื้นที่ป่าไม้ริมแม่น้ำสายได้เชิญชาวบ้านมาประชุม 3 ครั้ง ได้อธิบายให้ชาวบ้านให้ความร่วมมือทำหนังสือยินยอมให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำแม่สาย และอีกส่วนหนึ่งชาวบ้านบอกว่าต้องได้ค่าชดเชยหรือค่าที่อยู่อาศัยก่อนจึงจะให้ความร่วมมือ "ป่าไม้ไม่มีระเบียบค่าทดแทน เพราะเป็นพื้นที่ป่า" นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าพื้นที่ริมแม่น้ำแม่สายได้มีการสำรวจหมดแล้ว มี 843 หลังคาเรือน แต่ยังไม่ประเมินแต่ละหลังมีค่าก่อสร้างเท่าไหร่สำรวจเฉพาะบ้านเรือนและบ้านเลขที่มีกี่หลังและประชากรเท่าไหร่ "การเยียวยาต่างๆอยู่ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง จะรวบรวมข้อมูลว่าที่มีกรรมสิทธิ์ อาจมีค่าที่ดิน ส่วนที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ รัฐจะจ่ายอย่างไรเป็นเรื่องระเบียบของราชการ ตรงนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน" นายประสงค์กล่าวอีกว่าถ้าไม่มีการย้ายออก หรือถ้าย้ายชาวบ้านจะไปอยู่ตรงไหน รัฐจะต้องเยียวยาหรือดูแลอย่างไร ต้องมีการเจรจา ว่าที่ ร.ต.หญิงลภัส อมรพลัง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการชุมชนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวว่าเรื่องการดูแลและช่วยเหลือเบื้องต้น ทางหน่วยงานภัยพิบัติปี 2567 ได้มีการสนับสนุนงบซ่อมแซมบ้านจากภัยพิบัติ ตอนนี้ให้สภาองค์กรชุมชนในพื้นที่สำรวจข้อมูลพื้นที่ได้รับผลกระทบ "การสนับสนุนหรือย้ายบ้าน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนสนับสนุนที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย มีงบสนับสนุนการสร้างบ้านใหม่ สิ่งสำคัญคือเรื่องที่ดินที่จะไปอยู่ ต้องอยู่ได้ไม่เปลี่ยนอาชีพเดิมมาก และต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจว่าจะย้ายหรือไม่" นายอัครวิน สวัสดี หัวหน้าสถานีใบยาสูบเวียงพางคำ ตัวแทนหัวหน้าสำนักงานยาสูบเชียงราย กล่าวว่าพื้นที่กรรมสิทธิ์ของโรงงานยาสูบในพื้นที่อำเภอแม่สายมีหลายส่วน ที่ใกล้ชุมชนมากที่สุดเป็นที่ดินที่ทำการสถานีใบยาสูบเวียงพางคำมีพื้นที่ 75 ไร่เศษใกล้เมืองมากที่สุด ที่ดินส่วนนี้ปัจจุบันเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงงานยาสูบแห่งประเทศไทย ตาม พ.ร.บ.การยาสูบปี 2561 ได้แบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างกรมธนารักษ์กับโรงงานยาสูบเรียบร้อยแล้ว ที่ดินของโรงงานยาสูบ ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง ที่ผ่านมากรมทางหลวงขอใช้พื้นที่บางส่วนทำถนน แต่ขอเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์เรื่องอื่นยังไม่มี ถ้าจังหวัดเชียงรายต้องการใช้ต้องทำหนังสือผ่านคณะกรรมการยาสูบแห่งประเทศไทย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย กล่าวว่าปี 2567 มีเหตุการณ์ดินถล่ม น้ำท่วมหนัก ที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างพนังป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวและกึ่งถาวร ระยะทาง 3.6 กิโลเมตรในอำเภอแม่สาย และขุดลอกแม่น้ำรวกอีก 42 กิโลเมตร ส่วนทางการเมียนมาได้ดำเนินการขุด ได้ 7เปอร์เซ็นต์ และไม่ขุดต่อ "งบในการก่อสร้างหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่อไปตอนนี้ยังไม่มี ล่าสุดได้ทำหนังสือแจ้งทางจังหวัด" ส่วนแผนแก้ปัญหาระยะยาว บริษัทที่ปรึกษาถ้ามีการลงนามศึกษาในเดือนพฤศจิกายน จะดำเนินการ 8 เดือนคาดว่าจะเสร็จในช่วงกลางเดือนมิถุนายน แต่ปีหน้าน้ำก็จะมาอีกแม่สายก็มีน้ำท่วมอีก นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลแม่สาย กล่าวว่าศักยภาพท้องถิ่นไม่สามารถทำได้ ถ้าปีหน้าการเจรจาไม่สำเร็จและต้องมานั่งซ่อมบิ๊กแบ็คก็ยังไม่มีงบประมาณ ที่ของบประมาณไปได้รับแจ้งจากทางอำเภอไม่ได้รับงบประมาณ ถ้าเป็นอย่างนี้ในช่วง 8 เดือนที่จะทำงานจนก่อนถึงเดือนมิถุนายน น้ำมาก่อนอยู่แล้วอาจจะต้องมีการของบจากส่วนอื่น นายนพดล กันทะวงค์ ตัวแทนชาวชุมชนเกาะทราย อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่าที่ผ่านมาชาวบ้านได้ยินแต่ข่าวลือ เช่น ทุบตึก ชาวบ้านตกใจเพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน หรือไปนอนที่ไหน มีแผนรองรับหรือไม่ ชาวบ้านอยากทราบแผนที่ชัดเจนอยากได้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน มีข่าวลือมาเรื่อยๆ ชาวบ้านไม่สบายใจ ชาวบ้านอยากทราบว่าถ้ามีการอพยพออกจากพื้นที่เพื่อไม่ให้น้ำท่วมกระทบคนในแม่สาย อยากถามว่าพวกเราจะไปอยู่ที่ไหน จะมีบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ "พวกผมเลือกเกิดไม่ได้ อยากมาเกิดไกลๆ แม่น้ำ เมื่อเป็นอย่างนี้ปัญหาทุกปัญหาจะมีการปรองดองอย่างที่พูดไว้อย่างไร" ต้องขอบคุณกรรมการสิทธิมนุษยชนที่เห็นชาวบ้านแม้เป็นส่วนเล็กน้อยที่ต้องโดนหรือถอนหรือโยกย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งตัวเองอยู่ในบ้านเกาะทรายมาสามรุ่นแล้ว ด้านชาวบ้านชุมชนเกาะทรายอีกคนบอกว่า ตัวเองได้รับผลกระทบเหมือนกันอยากมีทางออกที่ดี กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแลชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีความชัดเจนหน่วยงานไหนจะเข้ามาดูแลหรือให้ความมั่นใจได้เลย ชาวบ้านชุมชนเกาะทราย อีกคนกล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีหน่วยงานให้ตัวเองเซ็นเอกสารยินยอมให้มีการรื้อถอนร่วมกับชาวบ้านรวม 7 หลัง หน่วยงานให้เซ็นบอกว่าจะนำเข้าไปใน ครม. บ้านเพียงแค่ 6-7 หลังจะไม่รับ ถ้า 10 หลังขึ้นไปจะได้นำเข้าไปสู่การชดเชยเยียวยา "ชาวบ้านที่เซ็นยินยอมยังไม่ทราบว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหนถ้ามีการทุบบ้าน ไม่มีแผนรองรับบ้านและอาชีพ" ขณะที่ความกังวลของชาวบ้านเกาะทราย อีกหลายคนกล่าวว่า คนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ชาวบ้านเข้าใจระเบียบของทางราชการในการชดใช้หรือเวนคืน มีความกังวล และรับทราบว่าต้องใช้เวลาอีกนาน "ชาวบ้านยืนยันว่าไม่มีการคัดค้าน น้ำท่วมครั้งหนึ่งเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ชาวบ้านยินยอมที่จะออก แต่ทุกคนกังวลว่าชาวบ้านที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มีทางไหนที่จะช่วยชาวบ้านให้ได้เต็มที่จะไปหาที่อยู่อาศัยใหม่ได้คือความกังวลที่สุดของชาวบ้านเวลานี้" น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า หลังได้มารับฟังข้อมูลแล้วโครงการย้ายชุมชนเป็นโครงการของกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งรัฐบาลได้ให้เงินมา 24 ล้านบาท จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาจะมาจัดรับฟังความคิดเห็น 3 ครั้ง ที่จะเสนอแบบทำผนังป้องกัน น้ำท่วม อาจจะมี 2-3 แบบให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมมีกระบวนการเยียวยาชดเชยอย่างไร น.ส.ศยามล กล่าวว่า ระหว่างที่ดำเนินการอาจจะต้องมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจะรื้อถอนอย่างไรแบบไหน ถ้าจะจ่ายค่าเยียวยาหรือชดเชย หรือพบว่าที่ดินส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ราชพัสดุ บริเวณตลาดสายลมจอย และถนนบริเวณหน้าเกาะทราย ติดแม่น้ำสาย เป็นพื้นที่ป่าไม้ ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 ที่กรมป่าไม้ดูแล ชาวบ้านอาจจะไม่รู้ว่าที่ดินตรงนี้เป็นของใคร การสร้างบ้านเรือนสร้างมาตั้งแต่ปี 2529 ชาวบ้านอาศัยอยู่มามากกว่า 20 ปีขึ้นไป และมีการก่อสร้างอาคารที่อาจไม่ได้รับใบอนุญาตตาม การควบคุมอาคาร "การรื้อถอนมีความระมัดระวัง ตัวเองค่อนข้างเป็นห่วงน้ำจะมาทุกปีฝากเทศบาลตำบลแม่สายให้ทางช่างโยธาไปสำรวจความมั่นคงปลอดภัยของบ้านที่สร้าง ให้ดูว่าจะอยู่ได้หรือหรือไม่อย่างใร" ส่วนระยะยาว จะมีการย้ายชุมชนอย่างไร มีที่ดินที่ไหนบ้าง แต่ต้องมีการฟังชาวบ้านว่ามีที่ดินตรงไหนบ้าง หลังจากนั้นให้ทางจังหวัดเสนอไปยังรัฐบาลในการดำเนินการหาพื้นที่รองรับ และให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนมาช่วยให้ข้อมูลถ้าจะสร้างบ้านชั่วคราวหรือระยะยาวต้องมีเงื่อนไขอย่างไรเพราะไม่ได้สร้างบ้านให้เปล่าๆ และเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินยังเป็นของรัฐต้องให้ข้อมูลกับชาวบ้านชัดเจน จากตัดสินใจย้ายหรือไม่หรือไปอยู่ที่อื่นเลย ชาวบ้านจะได้ดูข้อมูลเรื่องที่จะย้าย น.ส.ศยามล กล่าวถึงค่าเยียวยาเบื้องต้นชาวบ้าน ”ใช้วิธีปรองดอง“ ถ้าเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินจะได้ค่าราคาที่ดินตามราคาซื้อขาย หรืออาจจะต่ำ คนที่มีโฉนดก็จะได้ค่าที่ดินพร้อมกับค่าสิ่งปลูกสร้าง แต่ถ้าอยู่ในที่ดินราชพัสดุหรือที่ดินป่าไม้จะได้ค่าชดเชยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไม่ได้ค่าที่ดิน ชาวบ้านต้องรู้จะจ่ายค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกี่บาท ต้องคุยให้ลงตัว ถึงจะเรียกว่าวิธีปรองดอง "ชาวบ้านจะตัดสินใจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร จะให้บริษัทที่ปรึกษารับฟังข้อมูลทั้งหมด กสม.จะนำข้อกังวลทั้งหมดทำหนังสือที่กรมโยธาธิการและผังเมือง รัฐบาล และจังหวัดเชียงราย เป็นประเด็นที่ต้องนำไปจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ชาวบ้านตัดสินใจร่วมกันทุกครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ" สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาน้ำหลาก อุทกภัย-โคลนและปัญหาน้ำท่วม น้ำท่วมขังพื้นที่ชุมชนแม่สายแบบยั่งยืนได้ออกแบบแนวทางไว้ 3 รูปแบบ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นทางเลือกให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยตลอดแม่น้ำสายทางทิศเหนือมีการก่อสร้างคันกั้นน้ำและดินโคลน ระยะทาง 3.96 กิโลเมตร โดยจะมีการปรับภูมิทัศน์ ใน 6 โซน คือ 1.พื้นที่นันทนาการชุมชนและพื้นที่รองรับน้ำ 2.ลานกิจกรรมชุมชน 3.ลานวัฒนธรรมแม่สาย แลนด์มาร์กและลานจอดรถ 4.พื้นที่นันทนาการชุมชนและพื้นที่รองรับน้ำ 5.สวน 10 ชาติพันธุ์ 5.พื้นที่สวนป่าและพื้นที่รองรับน้ำ สำหรับพื้นที่ต้องเวนคืนมีทั้งหมด 275 ไร่ สิ่งปลูกสร้างที่ต้องรื้อถอน 843 หลัง ประชาชนที่ได้รับประโยชน์ 16,980 ครัวเรือน 35,060 คน ลดการสูญเสียมากกว่า 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้งบประมาณโครงการ 3,430 ล้านบาท โดยเป็นค่าก่อสร้าง 1,600 ล้านบาท และค่าทดแทนและค่าชดเชย 1,830 ล้านบาท โดยคาดว่าจะดำเนินการปลายปี 2568 - 2573 ใช้เวลาประมาณ 5 ปี โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองจะเร่งรับฟังความคิดเห็น 3 เวที คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 8 เดือน ก่อนนำเสนอให้กับคณะรัฐมนตรีพิจารณา * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * ภัยพิบัติ * น้ำท่วม * แม่น้ำสาย * เชียงราย
dlvr.it
prachatai.com
หัวหน้าพรรคประชาชน ขอรอผลโหวตจะใช้ร่างแก้ รธน. พรรคใดเป็นหลัก
หัวหน้าพรรคประชาชน ขอรอผลโหวตจะใช้ร่างแก้ รธน. พรรคใดเป็นหลัก auser15 Tue, 2025-10-14 - 10:56 หัวหน้าพรรคประชาชน ขอรอผลโหวตที่ประชุมสภาจะใช้ร่างแก้ รธน. พรรคใดเป็นหลัก มั่นใจสัดส่วน กมธ. สมดุล ไม่มีกินรวบ ขู่คว่ำวาระ 3 หากไม่ยึดโยงประชาชน ลั่นรัฐบาลเก่า 2 ปี แก้ รธน. ไม่คืบ แต่ 'อนุทิน' มาไม่ถึง 4 เดือน คืบอย่างมีนัยสำคัญ 14 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณียื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา วันนี้ได้มีการเตรียม สส.เพื่ออภิปราย 20 คน โดยจะเริ่มด้วยเริ่มด้วยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นผู้นำเปิดการอภิปราย และตนเป็นคนสุดท้าย ซึ่งตอนนี้ ได้เตรียมเนื้อหาการอธิบายไว้ครบทุกหมวด โดยเนื้อหาสาระเน้นไปที่ 15/1 เป็นหมวดของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนกรอบการอธิบายใน 2 วันนี้จะมุ่งเน้นให้ประชาชนเห็นความจำเป็นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อมโยงถึงปัญหาปากท้องของประชาชนด้วย จะชี้เห็นว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้มากขึ้น ทางพรรคประชาชนยืนยันว่าจะใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเป็นร่างหลัก ซึ่งการจะเสนอร่างของตัวเองนั้นจะต้องดูแนวโน้มการรับร่างของพรรคใดเป็นร่างหลัก เพราะเป็นสิทธิ์ของทุกพรรคที่จะเสนอร่างของตนเองได้เช่นกัน ก็ต้องมาดูคะแนนโหวตในวันพรุ่งนี้ ถ้ามีแนวโน้มที่จะรับทุกร่าง ก็ต้องดูว่าใช้ร่างของใครเป็นร่างหลักจากผลการลงมติ ส่วนจะพูดคุยกันในประเด็นนี้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว ตลอดทั้งสองวันคงจะมีการให้เหตุผลกัน และท้ายที่สุดหากค้นหาจุดลงตัวไม่ได้ ก็ต้องดูผลการลงมติ ว่า จะนำร่างของใครเป็นร่างหลัก นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวต่อว่า ผู้อภิปรายของพรรคประชาชนเด็ดทุกคน เพราะได้เตรียมเนื้อหามาอย่างเข้มข้น สิ่งที่จำเป็น และสำคัญขณะนี้ คือ การทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในส่วนของพรรคประชาชนได้เตรียมเนื้อหาไว้ค่อนข้างครบ ทั้งเรื่อง ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาใกล้ตัวเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ การแก้ไขระบบถ่วงดุลตรวจสอบ ทำอย่างไรให้ประเทศมีความโปร่งใส กลไกของศาลและองค์กรอิสระไม่ถูกใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างทางการเมือง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การส่งเสริมการศึกษา ของรักษาต่างๆ ทำอย่างไรให้ประเทศไทยดูแลทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน ส่วนปัญหาการโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ทางฝั่งรัฐบาลและ สว. ยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ล็อกไว้แล้ว ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นร่างของใคร พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน หรือพรรคภูมิใจไทย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ได้ ส่วนที่มีข้อคิดเห็นว่าการไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 นั้น ก็ไม่ได้มีประเด็นอะไร เพราะร่างของทุกพรรคไม่ได้มีข้อแตกต่างกันในเรื่องนี้ ส่วนความกังวลของเพื่อไทย ว่าพรรคประชาชนและภูมิใจไทย จะปัดตกร่างของพรรคเพื่อไทยนั้น นายณัฐพงษ์ ชี้แจงว่า จะต้องดูในการอภิปรายทั้งสองวันนี้ ว่า ในแต่ละส่วนจะให้เหตุผลอย่างไร จากการให้ข้อคิดเห็นของพรรคภูมิใจไทย และ สว.บางส่วน มีทิศทางว่าจะรับทุกร่าง จุดสำคัญของเรื่องนี้คือต้องดูว่าที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญทำอย่างไรให้ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ซึ่งร่างของใครเป็นร่างหลักก็จะมีส่วนสำคัญในเรื่องนั้น สำหรับร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกมองว่ามีความยึดโยงกับประชาชนน้อยที่สุดนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้วิเคราะห์กันได้ ว่าแต่ละร่างมีความยึดโยงกับประชาชนมากหรือน้อยกว่ากัน ซึ่งหลายคนวิเคราะห์กันว่าร่างของพรรคภูมิใจไทยอาจจะยึดโยงกับประชาชนน้อย แต่ยืนยันว่า ไม่ว่าร่างใครจะเป็นร่างหลัก สิ่งที่จะสามารถผลักดันได้อยู่ คือในชั้นกรรมาธิการวาระ 2 และ 3 สัดส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละฝ่าย เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสมดุล ดังนั้น ไม่ว่าร่างของใครจะเป็นร่างหลัก จะไม่สามารถผลักดันผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญให้มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งต้องไปสู้กันต่อในวาระ 2 และ 3 และเมื่อกลับเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้ง แล้วได้ร่างที่พรรคประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ ก็ไม่สามารถลงมติยอมรับได้ในวาระ 3 เมื่อถามว่า หากการลงมติครั้งนี้เสียงของฝ่ายรัฐบาลมีมากกว่าที่มีอยู่จะถือเป็นการละเมิด MOA หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เงื่อนไขในการรับหลักการต้องใช้เสียงจากหลายส่วนประกอบกัน ดังนั้น วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่ใช่การแบ่งฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล แต่เป็นวาระที่ทุกฝ่ายเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อถามย้ำว่า แม้จะเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่เสียงของ สว.เป็นปัจจัยที่มีผลมาก จะเป็นการตีกินหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ห่วงเรื่องนี้ แต่เป็นสิ่งที่เล็งเห็นอยู่แล้ว ดังนั้นในวาระที่ 2 สัดส่วนกรรมาธิการไม่สามารถมีใครกินรวบได้ ต้องรอดูรายชื่อที่เสนอมาก็จะได้เห็น ในส่วนที่ สว.เปลี่ยนท่าที จากองครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้กลับส่งสัญญาณว่าจะโหวตทั้ง 3 ร่าง นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ก็ต้องดูว่าใครจะสามารถไปพูดคุยได้หรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย พรรคการเมืองทุกพรรคต้องไปพูดคุยกับสมาชิกรัฐสภา แต่คนที่มีส่วนสำคัญ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงเชื่อว่า กระบวนการในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านทั้ง 3 วาระ เป็นร่างที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ นายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนเช่นเดียวกัน ขอให้ทุกคนช่วยกันประเมิน พร้อมยืนยันว่า การที่พรรคประชาชนโหวตให้ นายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจครั้งนี้ ทำให้สามารถเปิดประตูสู่กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ถูกพรรคหาเสียงในการเลือกตั้งปี 2566 แต่ 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าใดเลย แต่ช่วงเวลาสี่เดือนนับตั้งแต่ที่นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นความคืบหน้าในกระบวนการนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ทุกคนน่าจะวิเคราะห์ได้ อะไรเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้กระบวนการในส่วนนี้เดินหน้า ขณะที่ได้ประเมินเนื้อหาของ พ.ร.บ.ประชามติ เกี่ยวกับเสียงข้างมากสองชั้นไว้อย่างไรบ้าง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตัวร่าง พ.ร.บ.ประชามติ จะใช้ได้ทันก่อนการทำประชามติ ซึ่งได้หารือกับฝ่ายกฎหมายอยู่ ขอรอความชัดเจน ว่ากฎหมายจะประกาศใช้เมื่อไหร่ * ข่าว * การเมือง * พรรคประชาชน * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
prachatai.com
มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินยื่นหนังสือขอให้ยกเลิก MOU 43-44 อ้างกัมพูชาละเมิดข้อตกลง
มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินยื่นหนังสือขอให้ยกเลิก MOU 43-44 อ้างกัมพูชาละเมิดข้อตกลง auser15 Tue, 2025-10-14 - 10:44 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ยกเลิก MOU ปี 2543 และ 2544 อ้างกัมพูชาละเมิดข้อตกลง 14 ตุลาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานกรรมการมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสนอให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตหลักเขตแดนทางบก (MOU ปี 2543) และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเจรจาเพื่อกำหนดเขตทางทะเล (MOU ปี 2544) โดยให้เหตุผลว่าประเทศกัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 นายปานเทพ ระบุว่า เหตุการณ์การสู้รบและการใช้อาวุธของกองทัพกัมพูชาในระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นการละเมิด MOU ปี 2543 อย่างร้ายแรงตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งเป็นเหตุให้ประเทศไทยมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวได้ โดยขอให้มีการประกาศยกเลิกโดยทันที และแจ้งให้รัฐบาลกัมพูชาทราบล่วงหน้า พร้อมระงับกลไกการประชุมต่างๆ ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC), คณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) ไว้ก่อน เพื่อรักษาสิทธิและความชอบธรรมของประเทศไทยในการดำเนินการยกเลิก MOU อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ยังเสนอให้มีการยกเลิก MOU ปี 2544 ด้วย โดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อตกลงชั่วคราวที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมถึงประกาศพระบรมราชโองการว่าด้วยเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยเสียเปรียบในเชิงอธิปไตยทางทะเล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า จะนำรายละเอียดไปพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยระหว่างรับฟังแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรีได้แสดงท่าทีสนใจตลอดการนำเสนอข้อเรียกร้อง * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน * MOU 2543 * MOU 2544
dlvr.it
prachatai.com
'ชาดา' ชี้ขบวนการ IO ค่ายแดง มาจากอดีตลิเก หวังทำ 'อนุทิน' เสียหาย
'ชาดา' ชี้ขบวนการ IO ค่ายแดง มาจากอดีตลิเก หวังทำ 'อนุทิน' เสียหาย auser15 Tue, 2025-10-14 - 10:29 'ชาดา ไทยเศรษฐ์' ระบุ สงครามไทย-กัมพูชา เกิดเพราะ 'ทักษิณ-ฮุนเซน' ขัดผลประโยชน์เกาะกูด สงสาร 'แพทองธาร' เป็นเหยื่อ แต่พ่อไม่ปกป้อง ชี้ขบวนการ IO ค่ายแด มาจากอดีตลิเก หวังทำ 'อนุทิน' เสียหาย ชม 'กัน จอมพลัง' ทุ่มเทเพื่อชาติ ติง สว. ร้องผิดมนุษยชน เหมือนคนไม่รักชาติ ไม่ควรออกมาพูดตอนนี้ สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2568 ว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในขณะนี้ ที่ฝั่งไทยได้นำซาวด์หลอนไปเปิดที่ บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ว่า โลกยุคใหม่มีสงครามหลายรูปแบบ ปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัล มีประชาชน อินฟลูเอนเซอร์ออกมาเป็นธรรมดา เราไม่ได้ยิงระเบิด เราไม่ได้ไปฆ่าใคร เราเปิดเสียงเพลงบ้านเรา แต่เวลาเขาทำเราก็ต้องเข้าใจว่าคนไทยโดนกระทำมาหลาย 10 ปี “วันนี้สังคมไทยต้องตระหนักให้ดี สังคมไทยต้องรู้ว่าสงครามเกิดขึ้นเพราะคนสองคน ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย คนสองคนทำให้คนตาย คนสองคนทำให้ชาวบ้านประชาชนต้องอพยพไม่ได้ทำมาหากิน เกิดจากคนสองคนไม่ใช่สองประเทศ คนสองคนที่อยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน พอผลประโยชน์ขาดการก็มีปัญหาแต่เกิดจากคนสองคน ภายใต้ผลประโยชน์ใต้เกาะกูด วันนี้ไม่มีใครเอาความจริงออกมาแฉ ว่าผลประโยชน์ MOU 43 เขตบนดิน MOU 44 เขียนใต้ทะเล ในทะเลมีธรรมชาติที่ราคาแพงมากอยู่ใต้ทะเล มีการแบ่งปันผลประโยชน์กันเอง พอคนสองคนทะเลาะกันเรื่องก็ถูกแฉออกมา แต่สังคมคนไทยไม่รู้ พรรคพวกที่ก่อเหตุก็ไปโทษไอโอ พยายามเบี่ยงไปกาสิโน ความจริงคือคนละประเด็น“ นายชาดา กล่าวอีกว่า วันนี้เกิดเหตุแล้วจะจบอย่างไร นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด เลิก MOU แล้วและจะทำอะไรต่อ ถ้าเป็นสงครามขึ้นมา ไทยเปิดปฏิบัติการถ้าปล่อยให้ทหารทำเต็มที่แล้วค่อยเจรจา คนที่ได้เปรียบทางยุทธวิธี ยุทธการเจรจา ย่อมมีอำนาจเหนือกว่า แต่ก็มีคนไปคุยกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียน ภาษาของเราที่ไปของเราแพ้ยับเยิน ไปเพราะมีใบสั่งมา แต่การเจรจายืดเวลาไปอีก 6 ชั่วโมง ทำให้ไทยเสียเปรียบ เหมือนเชียร์มวย มวยเราไม่สวยต่อยไม่มัน เหมือนที่เคยมีคนถามว่า กระทรวงการต่างประเทศ อยู่ที่ไหนในรัฐบาลที่แล้ว แทบไม่ออกเลย ไม่ออกมาเพราะคุณถูกสั่งอยู่หรือไม่ มีผลประโยชน์ใต้เกาะกูด 30-50 ล้านๆ ต้องให้ประชาชนรู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร บางคนรู้ก็ไม่กล้าพูด ตนรู้แต่ก็ไม่กล้าพูด ถ้าจะพูดต้องมีนิยาย มีสตอรี่ แม้ว่าพฤติกรรมไอโอไทยทำไม่ถูกต้อง แต่วันนี้ทำเพื่อชาติ เกิดจากสงครามเป็นกรณีพิเศษ ชาวบ้านก็มีความแค้น อยากจะทำอะไรก็ทำให้รู้แล้วรู้รอด แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เรามีระบบของโลกที่ต้องปฏิบัติตามเพียงแต่บางช่วงบางจังหวะ อัดให้เต็มที่แล้วค่อยคุยไม่งั้นเขมรก็จะซ่าจัด “ตนพูดได้เลยว่า เราไม่ได้ทะเลาะกับเขมร เราทะเลาะกับไอ้ฮุนเซน เพราะมีไอโอของสีแดง ที่บอกว่าตนพูดว่าพ่อฮุนเซน ถ้าตนไปเรียกว่าพ่อมันสกปรก ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าใครทำ ทำที่ไหน ไม่อยากทะเลาะ ไม่เอาความขัดแย้งของคนอื่นมาเป็นความขัดแย้งของตนเอง แต่อยากให้ความจริงออกมา วันนี้คนไทยทะเลาะกับฮุนเซน มีแต่คุณปั่นตลอด สร้างสถานการณ์ตลอด ปัญหากัมพูชาคือปัญหาตระกูลฮุนเซน ไทยต้องจับประเด็นนี้ให้ดี เพราะเรากับเขมรย้ายบ้านหนีไม่ได้ ลบทิ้งจากแผนที่ไม่ได้ ประชาชนกับประชาชนไม่เท่าไหร่แต่ปัญหาคือ ฮุนเซน พยายามปลุกปั่น เขาทำได้ทุกอย่าง ขนาดเขาเป็นเขมรแดง ถูกสังคมประนามล่มสลายไป เขายังรอดตัวมาเป็นพระเอกได้อีก แสดงว่าเขาไม่ใช่กะล่อนธรรมดา กะล่อนระดับโลก มาทำร้ายผู้หญิงอย่าง อดีตนายกฯแพทองธาร ชินวัตร คุณพ่อไม่เห็นแสดงอะไรบ้างเลย ขอฝากถาม นายทักษิณ ชินวัตร ว่าคุณได้แสดงการปกป้องลูกในฐานะพ่ออย่างไร กับคนที่ไม่เคยทำร้าย ฮุนเซน คุณเป็นพ่อปกป้องอะไรบ้าง ผมสงสาร นายกฯแพทองธาร ผมเห็นใจเขา เขาน่าสงสารมาก เขาทำเพื่อคุณพ่อ แต่คุณพ่อไม่แสดงให้ลูกสาวว่าไม่ผิด ถ้ารวยแบบท่านแล้วเพื่อนผมทำแบบนี้ ผมจะมีกองกำลังปฏิวัติเขมร นี่คือความเป็นจริงแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะผลประโยชน์ เราทะเลาะกันก็เพราะผลประโยชน์ แต่มันไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติเป็นผลประโยชน์ของบุคคล ที่มีความรู้ดูดาวเทียมได้“ นายชาดา ย้ำว่า MOU ตั้งแต่ปี 44 แต่คนไทยเพิ่งมารู้ไม่กี่วันนี้เอง เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เกิดคนไทยจะไม่รู้อะไรเลย จนเป็นเรื่องที่บางครั้งรัฐก็ปิดข่าวเก่ง การเมืองก็ปิดข่าวเก่ง โยงประเด็นเก่งให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แต่ประเทศชาติยังมีทางออก คือเราต้องช่วยให้สถานการณ์ผ่านไป เราต้องรู้ว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ชายแดนประกาศกฎอัยการศึก คนไทยต้องรักกันเองให้มากอย่าแตกแยกให้เขมรดีใจ อย่าแตกแยกให้ ฮุนเซน ดีใจคน คนไทยต้องรักกันมากกว่านี้ เมื่อถามว่า ในโซเชียลมีข่าวลือว่า นายอนุทิน ไปพูดว่าแม่ทัพภาค 2 มองว่ามาจากการเมืองหรือไม่ นายชาดา ย้ำว่า การเมืองแน่นอน พรรคการเมืองแน่นอน มีพรรคหนึ่งทำที่อยู่เบื้องหลังคิดชั่วพวกนี้ เป็นคนไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง พยายามสร้างความแตกแยกเบี่ยงเบนประเด็น ใช้วิธีสกปรก พวกไอโอทำอยู่ในวัดวัดนึง ไม่ใช่คนอื่นไม่รู้ เริ่มต้นมาจากคนของพรรคบางพรรคที่อยู่ในวัดนี้ทำคลิปออกมามาปลุกปั่นเรื่องศาสนา วัดนี้ที่เคยถูกตรวจค้น แต่ไม่ใช่พระทำ ซึ่งตอนนี้อาจจะย้ายแล้ว และรู้ว่าใครทำ ”พวกพระเอกลิเกเก่า“ ตนกล้าพูดถ้าสงสัยให้มาถาม จะตอบให้ ส่วนการที่ประชาชนค่อนข้างคาดหวังว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน จะแก้ไขปัญหาชายแดน ถือว่าเป็นความกดดันของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายชาดา เผยว่า เรื่องนี้เป็นสงครามระหว่างประเทศ มีความอ่อนไหว คนที่เป็นผู้นำประเทศพูดแบบชาวบ้านไม่ได้ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีมีผลต่อระดับนานาชาติ มีผลต่อความขัดแย้งระดับประเทศ ให้ทหารรับผิดชอบถูกต้องแล้ว รัฐบาลให้อำนาจเต็มที่ นายกฯ ให้อำนาจเต็มที่ไม่ใช่แบบที่ผ่านมา ทหารกำลังถล่มมันๆ กลับสั่งให้หยุด กระทรวงการต่างประเทศหายไป แต่ปัจจุบัน นายอนุทิน จะไปว่าไม่ได้ในเชิงทางการทูต ต้องรักษาท่าที จะรบจริงไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย แต่คนไทยอย่ามาปั่น อย่ามาสร้าง บางเรื่องสื่อมวลชนไม่จำเป็นต้องลงข่าวทุกเรื่อง บางเรื่องมีความอ่อนไหว การซ้อมแผนอพยพถ้าเห็นก็จะมองว่าขู่มีรบหรือไงถึงซ้อมอพยพ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องให้ทหารและความมั่นคงที่มีความรู้ความสามารถมาทำ นายกฯ อย่าพูดอะไรมากต้องให้ให้กำลังใจคนทำงาน และยืนเคียงข้างทหาร ให้อำนาจการตัดสินใจ เพราะต้องมีคนต้องเจรจา ต้องปลอบในเหตุการณ์นี้ ต้องแบ่งกันหลายหน้าที่ คนที่เป็นผู้นำประเทศจะเอามันเอาเสียงให้คนถูกใจไม่ได้ มีระบบการขัดแย้งระหว่างประเทศ คนเป็นนายกฯ ต้องเจรจาที่หลังอย่าให้คนเจรจาไปรบเอง เมื่อถามว่า มี สว. ออกมาพูดถึงสถานการณ์บ้านหนองจาน ว่าฝ่ายไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น นายชาดา ระบุว่า ตนพยายามมองสองด้าน คุณพูดไม่ผิด คุณเป็นนักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ควรพูดในเวลานี้และไม่ควรพูดแบบนี้ ต้องมีศิลปะในการพูด คนที่เขาทำงานอยู่ก็รักชาติ กัน จอมพลัง เอาเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นก็ได้แต่เขาก็ทำทุกอย่าง บางคนว่าเขาหิวแสง แต่เขาทำแล้วมีประโยชน์กับบ้านเมืองมีประโยชน์ทางทหารต้องยอมรับในการกระทำ ตนถือว่าเก่งหาเงินมาทำได้ มีคนให้ความเคารพความเชื่อใจ เขาเจตนาดีอย่าไปมองสิ่งนั้น “คนที่ออกมาพูดไม่ควรพูดเวลานี้ และไม่ใช่พูดแบบนี้ อาจจะไม่เหมาะสมแต่พูดเหมือนเขาทำผิดเลวร้ายละเมิดสิทธิมนุษยชน ความรู้สึกตนสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ แต่นี่ยังไม่ได้ละเมิด เป็นสงครามจิตวิทยาดีกว่ารบด้วยอาวุธ คนจะพูดต้องรู้ว่าควรจะพูดแบบไหน ทหารกำลังปฏิบัติจิตวิทยา หน้าที่คุณปกป้องสิทธิแต่ไม่ใช่เวลานี้ ผิดเวลา ผิดที่ผิดทาง ผิดหัวใจคนไทยทั้งชาติ เหมือนคนพูดไม่รักประเทศไทย“ * ข่าว * การเมือง * ชาดา ไทยเศรษฐ์ * พรรคภูมิใจไทย
dlvr.it
prachatai.com
จนท.เชิญตัวผู้สั่งพิมพ์เอกสารมีข้อความและรูปสัญลักษณ์ BRN สอบถามข้อมูลขยายผล
จนท.เชิญตัวผู้สั่งพิมพ์เอกสารมีข้อความและรูปสัญลักษณ์ BRN สอบถามข้อมูลขยายผล auser15 Tue, 2025-10-14 - 10:06 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเชิญตัวชาว อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ผู้สั่งพิมพ์เอกสารลักษณะคล้ายแผ่นพับ/ใบปลิว มีข้อความและรูปสัญลักษณ์ BRN ผ่านโรงพิมพ์ จ.สมุทรปราการ ไปยังศูนย์ซักถามหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เพื่อสอบถามข้อมูลขยายผล สทท.ยะลา รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้รับแจ้งข้อมูลข่าวสารความมั่นคง ผ่านโทรสายด่วน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หมายเลข 1374 ว่ามีผู้สั่งพิมพ์เอกสารลักษณะคล้ายแผ่นพับ/ใบปลิว ณ โรงพิมพ์ในพื้นที่ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีข้อความและรูปสัญลักษณ์ แสดงตัวเป็นกลุ่ม BRN โดยข้อความแสดงถึงการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก เกลียดชัง ต้องการแบ่งแยกดินแดน เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าที่อยู่ในการจัดส่งเอกสารและชื่อเล่นของผู้สั่งพิมพ์เอกสารดังกล่าวตรงกับ นายฟิตี (สงวนนามสกุล) อยู่ที่บ้านตะโละ หมู่ที่ 1 ตำบลตะโละ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ต่อมาวันที่ 13 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ และกำนันตำบลกอลำ (ผู้ร่วมสังเกตการณ์) ได้เชิญตัว นายฟิตี (สงวนนามสกุล) ซึ่งอาศัยอยู่ที่ บ้านเลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำกอลำ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โดยมี นางสาวอานีตา (สงวนนามสกุล) ภรรยาของนายฟิตี (สงวนนามสกุล) แสดงตนเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงขอความร่วมมือเชิญไปยังศูนย์ซักถามหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เพื่อสอบถามข้อมูลขยายผลและเปิดโอกาสให้พิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป โดยการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ได้กระทำตามขั้นตอนในอำนาจหน้าที่ที่พึงมี และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้สูญหาย พ.ศ.2565 อย่างเคร่งครัดสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * ชายแดนใต้ * BRN * ยะรัง * ปัตตานี
dlvr.it
prachatai.com
สหภาพแรงงานต้องต่อสู้กับการแสวงหาผลประโยชน์จากระบบอัลกอริทึม
สหภาพแรงงานต้องต่อสู้กับการแสวงหาผลประโยชน์จากระบบอัลกอริทึม auser15 Tue, 2025-10-14 - 09:42 รายงานพิเศษจาก Jacobin สื่อฝ่ายซ้ายของสหรัฐฯ ชี้ว่าสหภาพแรงงานต้องเรียนรู้วิธี "เจรจาต่อรองเพื่อสิทธิในการจัดการอัลกอริทึม" ที่บริษัทใช้จัดการคนทำงาน ระบบพวกนี้ทำให้เจ้านายมีอำนาจเก็บข้อมูลคนทำงานแบบเรียลไทม์ ในขณะที่คนทำงานเองกลับไม่รู้ว่าถูกเก็บข้อมูลอะไรบ้าง และถูกประเมินยังไง ความไม่สมดุลของข้อมูลแบบนี้นำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์ เช่น จ่ายค่าจ้างไม่เท่ากัน หรือเฝ้าระวังเข้มงวดเกินไป - สหภาพแรงงานจึงต้องสร้างความเข้าใจเรื่องข้อมูล พัฒนาเครื่องมือดึงข้อมูลกลับมา และเจรจาข้อตกลงที่กำหนดให้อัลกอริทึมต้องโปร่งใสและมีคนรับผิดชอบ เป้าหมายคือให้คนทำงานเข้าถึงข้อมูลเท่ากับนายจ้าง เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในยุคดิจิทัล ปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้เครื่องมือจัดการด้วยอัลกอริทึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อบีบเอาแรงงานให้คุ้มค่าสูงสุด | ภาพจาก: Phil Murphy (CC BY-NC 2.0)  บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้เครื่องมือจัดการด้วยอัลกอริทึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อบีบเอาแรงงานให้คุ้มค่าสูงสุด อำนาจที่ฝ่ายจัดการได้จากเครื่องมือพวกนี้อาจดูน่ากลัว แต่แรงงานก็ยังมีโอกาสที่จะต่อสู้กลับได้ ตัวอย่างเห็นได้จากบาร์เทนเดอร์ที่ตารางเวลาทำงานทำงานถูกจัดโดยแอปพลิเคชัน Harvest หรือ ZoomShift จนกะเวลาทำงานออกมาวุ่นวายและใช้งานไม่ได้เลย หรือพยาบาลที่ถูกระบบแจ้งเตือนว่าใช้เวลากับผู้ป่วยคนหนึ่งนานเกินไป แรงงานกำลังต้องเจอกับเครื่องมือดิจิทัลที่เข้ามาทำหน้าที่แทนหัวหน้างานแบบเดิม และมันทำให้ปวดหัวมากขึ้นทุกที แม้ระบบเหล่านี้จะดูเหมือนทำงานเองโดยไม่มีคนคุม แต่ความจริงแล้วมันถูกควบคุมด้วยชุดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบคำถามเฉพาะของผู้บริหารบริษัท เช่น "จะมีบาร์เทนเดอร์พอดีกับความต้องการ ไม่เกินไม่ขาดได้ยังไง" หรือ "จะทำยังไงให้พยาบาลใช้เวลากับผู้ป่วยแค่พอจัดการเรื่องเร่งด่วนเท่านั้น" กฎเกณฑ์พวกนี้ถูกแปลงเป็นข้อมูลในกระบวนการดิจิทัลที่ทำงานอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งก็คืออัลกอริทึมนั่นเอง เหมือนกฎเกณฑ์อื่น ๆ ของบริษัท คนทำงานต้องผลักดันต่อต้านอัลกอริทึมเพื่อปกป้องสภาพการทำงานของตัวเอง แต่การท้าทายอัลกอริทึมยากกว่าการเผชิญหน้ากับหัวหน้า ถ้าคุณไม่รู้ว่าระบบเก็บข้อมูลอะไรบ้าง หรือมันชั่งน้ำหนักข้อมูลแต่ละประเภทยังไงก่อนตัดสินใจ คุณจะโต้แย้งมันได้อย่างไร เมื่อข้อมูลที่ป้อนเข้าอัลกอริทึมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แอปพลิเคชันก็เหมือนเป้าที่เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ๆ ทั้งสร้างความงุนงงและท้าทายไม่ได้ ความรู้สึกอ่อนแอของคนทำงานเมื่อเจออัลกอริทึมนี่แหละที่ต้องเปลี่ยน European Trade Union Confederation (ETUC) ได้ออกคู่มือสอนสหภาพแรงงานวิธี "เจรจาต่อรองเพื่อสิทธิในการจัดการอัลกอริทึม" เพื่อให้กฎเกณฑ์ของแอปพลิเคชันดิจิทัลในที่ทำงานเป็นที่รู้กันและตกลงกันแบบร่วมมือกัน การเจรจากับอัลกอริทึมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลายคนทำสำเร็จมาแล้ว และอีกหลายคนจะต้องทำถ้าเราอยากสร้างอำนาจของคนทำงานในยุคดิจิทัล อัลกอริทึมเข้ามาจัดการคนทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ การจัดการด้วยอัลกอริทึมกำลังกลายเป็นเรื่องปกติในโลกการทำงาน การสำรวจล่าสุดของ OECD พบว่า 90% ของที่ทำงานในสหรัฐฯ ใช้อัลกอริทึมจัดการอย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ ส่วนในยุโรปก็ใกล้เคียงกันที่ 79% ในสหรัฐฯ 3 ใน 4 บริษัทใช้เครื่องมืออัลกอริทึมถึง 10 ตัวจาก 15 ตัวที่สำรวจ ขณะที่ยุโรปใช้น้อยกว่า โดยส่วนใหญ่ใช้แค่ 3 ถึง 5 ตัว อัลกอริทึมทำให้บริษัทบีบอัดเวลาและพื้นที่ในการรับข้อมูลและตัดสินใจ แต่ก่อนบริษัทต้องใช้ผู้จัดการระดับกลางจดบันทึกและรายงานเรื่องผลงานของคนทำงาน ความต้องการของลูกค้า แล้วผู้บริหารจึงสั่งการใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่พอมีอัลกอริทึม การไหลของข้อมูลถูกบีบอัดเป็นกระบวนการอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ ข้อมูลถูกประมวลผลและออกคำสั่งใหม่ได้เกือบทันที สร้างวงจรคำนวณข้อมูลแบบต่อเนื่อง การปฏิวัติข้อมูลนี้คืออำนาจรูปแบบหนึ่งของเจ้านายที่มีต่อคนทำงาน ผู้บริหารมองเห็นข้อมูลหลายร้อยจุดเกี่ยวกับคนทำงานแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ความเร็วในการทำงานไปจนถึงจำนวนครั้งที่คลิกเข้าออกแอปพลิเคชันทำงาน ในขณะที่คนทำงานเองกลับเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับงานตัวเองไม่ได้มากกว่าก่อนยุคดิจิทัลเท่าไหร่ ความไม่สมดุลของข้อมูลแบบนี้ทำให้บริษัทใช้ข้อมูลของคนทำงานทำร้ายตัวคนทำงานเอง ดูกรณีคนงานคลัง Amazon ที่ถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ฝ่ายจัดการแสวงหาผลประโยชน์จากความไม่สมดุลของข้อมูลได้อย่างไร คนทำงานถูกติดตามผ่านข้อมูลชีวมาตร เครื่องสแกน สายรัดข้อมือ และกล้องวงจรปิด อาจถูกลงโทษหรือไล่ออกถ้าทำงานไม่ถึงเป้า เช่น งานเสร็จต่อชั่วโมง หรือใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ท่ามกลางความมืดมิดเรื่องข้อมูลของตัวเองและของเพื่อน ภายใต้แรงกดดันให้ทำงานเร็วอยู่เรื่อย ๆ คนทำงานที่โดดเดี่ยวและหมดแรงเหล่านี้เลยบาดเจ็บบ่อยกว่าและลาป่วยนานกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม อีกตัวอย่างคือคนขับ Uber ภายใต้นโยบาย "upfront fares" อัตราค่าจ้างถูกกำหนดด้วยอัลกอริทึมจาก "กล่องดำ" ของข้อมูลที่คนขับไม่รู้ เนื่องจาก Uber มีประวัติข้อมูลของคนขับแต่ละคน จึงปรับค่าจ้างเป็นรายบุคคล จ่ายแค่เท่าที่คิดว่าคนขับแต่ละคนจะยอมรับตามประวัติการยอมรับของเขา ไม่เกินนั้น การเหยียบย่ำหลักการค่าจ้างเท่ากันสำหรับงานเท่ากันนี้ถูกใช้ลดค่าจ้างแบบลับ ๆ แม้ Amazon กับ Uber อาจเป็นสองบริษัทที่อยู่แนวหน้าการใช้อัลกอริทึมแบบแสวงหาผลประโยชน์ แต่หลายบริษัทแม้ในที่ทำงานที่มีสหภาพแรงงานก็กำลังนำอัลกอริทึมรูปแบบง่าย ๆ มาใช้ โดยมักใช้ระบบสำเร็จรูป ซึ่งค่อย ๆ กัดเซาะความเป็นอิสระของคนทำงานและกระชับการควบคุมของนายจ้างอย่างต่อเนื่อง การสำรวจล่าสุดของสมาชิกสหภาพแรงงานในยุโรปพบว่า 1 ใน 3 รับรู้การจัดการด้วยอัลกอริทึม "ที่ใช้ในการจ้างงาน การเฝ้าระวัง และการตัดสินใจประจำวันในชีวิตคนทำงาน" ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้านายได้ประโยชน์จากการปฏิวัติข้อมูลมาจนถึงตอนนี้ แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นต่อไป เพื่อให้คนทำงานปรับสมดุลความสัมพันธ์อุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เจรจาต่อรองเพื่อสิทธิในการจัดการอัลกอริทึม อาร์มิน ซามิอิ (Armin Samii) ผู้ขับขี่ UberEats พัฒนาแอปพลิเคชัน UberCheats ที่ใช้พิกัด GPS ตรวจสอบว่าผู้ขับขี่เดินทางระยะทางที่ UberEats อ้างจริงหรือไม่ | ภาพจาก: arminsamii.com วาเลริโอ เด สเตฟาโน (Valerio De Stefano) ศาสตราจารย์กฎหมายแรงงานเป็นคนคิดคำว่า "การเจรจากับอัลกอริทึม" (เจรจาต่อรองเพื่อสิทธิในการจัดการอัลกอริทึม) เพื่ออธิบายข้อตกลงร่วมระหว่างนายจ้างกับองค์กรคนทำงานเกี่ยวกับ "การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเก็บข้อมูล และอัลกอริทึมที่สั่งการและควบคุมคนทำงาน" ตอนนี้มีตัวอย่างข้อตกลงแบบนี้แล้วหลายที่ แม้จะยังไม่ใช่เรื่องปกติ บริษัท IBM สาขาเยอรมนี มีข้อตกลงกับคณะกรรมการแรงงานเรื่องการใช้ระบบ AI ในที่ทำงาน กำหนดว่า AI ต้องโปร่งใส รวมถึงวิธีที่ข้อมูลนำเข้ามีผลต่อการตัดสินใจของ AI การตัดสินใจของ AI ทั้งหมดต้องตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อให้คนทำงานเข้าใจจริง ๆ ว่าการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมเกิดขึ้นได้ยังไง และต้องมีคนที่ระบุตัวได้ซึ่งรับผิดชอบต่อสิ่งที่ AI ทำ คนทำงานยังนั่งใน "คณะกรรมการจริยธรรม AI" ที่ประเมินความเสี่ยงจาก AI รวมถึงความเสี่ยงต่อสิทธิคนทำงาน ในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม สหภาพแรงงาน United Federation of Danish Workers (3F) ในเดนมาร์กมีข้อตกลงร่วมกับแพลตฟอร์มทำความสะอาดบ้าน Hilfr ที่มีบทบัญญัติเรื่องการจัดการด้วยอัลกอริทึม เช่น Hilfr ต้องให้คำอธิบายครบถ้วนสำหรับการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมทั้งหมด ถ้าให้เหตุผลไม่ได้ ถือว่าการตัดสินใจนั้นไม่ถูกต้อง พนักงานมีสิทธิร่วมตัดสินในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย หมายความว่าพวกเขาสามารถยกเลิกการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมที่เสี่ยงต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ยังมี "ชมรมดิจิทัล" บนแอปพลิเคชัน Hilfr ให้คนทำงานมีส่วนร่วมกับสหภาพแรงงานได้หลายวิธี เช่น ลงคะแนนและเลือกตั้งตัวแทนสหภาพแรงงาน เป็นต้น ในสเปน แพลตฟอร์มส่งอาหาร Just Eat มีข้อตกลงร่วมกับสหภาพแรงงาน Workers' Commissions (CCOO) และ General Union of Workers (UGT) ที่มีบทเรื่องการจัดการด้วยอัลกอริทึม ซึ่งรวมสิทธิในข้อมูลเกี่ยวกับ "พารามิเตอร์" ของระบบ AI ของ Just Eat รวมถึง "กฎและคำสั่งที่ป้อนเข้าอัลกอริทึม" "คณะกรรมการอัลกอริทึม" ที่มีตัวแทนทั้งนายจ้างและสหภาพคอยกำกับดูแลให้แน่ใจว่าบทบัญญัติถูกนำไปใช้ ข้อตกลงร่วมที่ควบคุมและจำกัดการจัดการด้วยอัลกอริทึมควรเป็นเป้าหมายของสหภาพแรงงานทุกแห่ง แต่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นปรปักษ์ ซึ่งหลายบริษัทปฏิเสธสหภาพแรงงาน หรือแม้กระทั่งจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้าข้างนายจ้าง เพื่อขัดขวางการจัดตัวของคนทำงาน สหภาพแรงงานไม่อาจเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้ทันทีเสมอไป ในบริบทนี้ สหภาพแรงงานต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการกู้คืน วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลเป็นวิธีสร้างอำนาจ การใช้เครื่องมือข้อมูลแบบ "ปฏิปักษ์" เพื่อกู้คืนข้อมูลของคนทำงานเป็นวิธีจัดตัวที่สำคัญมากขึ้นในยุค AI ด้วยสามเหตุผล หนึ่ง ข้อมูลช่วยกำหนดกลยุทธ์ของสหภาพแรงงาน เมื่อรู้สิ่งที่นายจ้างรู้ สหภาพแรงงานก็เข้าใจจุดอ่อนของบริษัทและสภาพการทำงานจริง ๆ ช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น สอง แม้สหภาพแรงงานจะมีข้อตกลงที่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ดูแข็งแกร่ง จะมั่นใจได้ยังไงว่าบริษัทปฏิบัติตามจริง ถ้าไม่มีเครื่องมือข้อมูลเพื่อติดตาม ทดสอบ และตรวจสอบ ข้อมูลอะไรกำลังถูกเก็บเกี่ยวกับคนทำงานและถูกใช้ยังไงอาจไม่ชัดเจนสำหรับตัวคนทำงานเอง สหภาพแรงงานต้องการวิธีการด้านข้อมูลเป็นมาตรการตรวจสอบ สาม ข้อมูลคือหลักฐานที่สนับสนุนข้อโต้แย้งของสหภาพและกดดันบริษัท ถ้าสหภาพแรงงานกู้คืนข้อมูลที่พิสูจน์ว่าคนทำงานโดยเฉลี่ยได้ค่าจ้างต่ำกว่าขั้นต่ำ เช่น นี่สามารถเป็นพื้นฐานสำหรับการรับสมาชิกสหภาพ แคมเปญสื่อ การวิ่งเต้นทางการเมือง หรือแม้แต่ฟ้องร้อง มีกรณีศึกษาระดับสากลหลายอันที่พิสูจน์คุณค่าของเครื่องมือข้อมูลต่อการจัดตัวของคนทำงาน แม้ส่วนใหญ่จนถึงตอนนี้จะอยู่ในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ในสวิตเซอร์แลนด์ คนขับ Uber ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อคำนวณว่าบริษัทเป็นหนี้พวกเขาเท่าไหร่ หลังศาลแรงงานพบว่าพวกเขาเป็นพนักงานและเป็นหนี้ค่าจ้างย้อนหลังตั้งแต่ 2017 ถึง 2022 นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลพบว่าคนขับเป็นหนี้เฉลี่ย 20% มากกว่าที่ Uber คำนวณ ในบราซิล คนขับรถผ่านแอปพิลเคชันหลายแสนคนใช้แอปพลิเคชัน StopClub มันรับข้อเสนอเที่ยวจากแพลตฟอร์มและคำนวณทันทีว่ารายได้ต่อชั่วโมงและต่อกิโลเมตรเป็นเท่าไหร่ เพื่อให้คนขับตัดสินใจได้ง่ายว่าจะรับหรือปฏิเสธข้อเสนอนั้นคุ้มหรือไม่ "เหมือนผ้าปิดตาถูกถอดออกจากดวงตา" คนขับคนหนึ่งพูดถึง StopClub ในสหรัฐฯ อาร์มิน ซามิอิ (Armin Samii) ผู้ขับขี่ UberEats พัฒนาแอปพลิเคชัน UberCheats ที่ใช้พิกัด GPS ตรวจสอบว่าผู้ขับขี่เดินทางระยะทางที่ UberEats อ้างจริงหรือไม่ จากการเดินทาง 6,000 ครั้งที่บันทึกโดยผู้ขับขี่ที่ใช้ UberCheats ทั่วโลก พบว่า 17% ถูกจ่ายต่ำไปโดยเฉลี่ย 2.2 กิโลเมตรต่อเที่ยว UberCheats เป็นตัวอย่างของสิ่งที่นักข่าวคอรี่ ด็อกโทโรว์ (Cory Doctorow) เรียกว่า "แอปพลิเคชันเคาน์เตอร์" คือแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ซึ่งทำให้คนทำงานต่อต้านได้ หรืออย่างที่ด็อกโทโรว์พูดว่า ช่วย "คนทำงานยึดเครื่องมือคอมพิวเตอร์จากนายจ้าง" การทดลองเรื่องแอปพลิเคชันเคาน์เตอร์จนถึงตอนนี้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่ความจริงที่ว่าเกือบทั้งหมดเป็นความพยายามแบบรากหญ้าและทำเองแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เครื่องมือและเทคนิคกู้คืนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพได้ด้วยต้นทุนต่ำและความเชี่ยวชาญจำกัด ยิ่งกว่านั้น แอปพลิเคชันเคาน์เตอร์อยู่ที่ปลายที่ซับซ้อนกว่าของช่วงกลยุทธ์กู้คืนข้อมูลที่เป็นไปได้ ในรัฐที่คนทำงานมีสิทธิด้านข้อมูล การขอข้อมูลจากบริษัทอาจเป็นกระบวนการที่น่าหงุดหงิด แต่ก็ยังให้ผลได้ ข้อมูลสามารถดึงมาจากสิ่งที่แพลตฟอร์มแสดงให้คุณเห็นบนแอปพลิเคชัน คนทำงานยังสามารถทำการทดสอบที่ควบคุมได้บนแพลตฟอร์มเพื่อหาข้อมูล เหมือนคนขับรถผ่านแอปพลิเคชันหลายคนทำเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาได้อัตราค่าจ้างต่างกันสำหรับงานเดียวกัน แอปพลิเคชันสามารถวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อหาว่าบริษัทกำลังเก็บข้อมูลอะไร โดยธรรมชาติ วิธีการเหล่านี้มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน คนทำงานมีแนวโน้มได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้พวกมันร่วมกัน เพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีให้สหภาพแรงงาน จากความพยายามบุกเบิกมากมายในการกู้คืนข้อมูลของคนทำงาน น้อยอย่างน่าทึ่งที่เกิดขึ้นจากภายในโครงสร้างสหภาพที่เป็นทางการ การศึกษาของ International Trade Union Confederation พบว่ากว่า 60% ของกิจกรรมสหภาพแรงงานเรื่องการจัดการด้วยอัลกอริทึมเป็นแค่การวิเคราะห์ สร้างการรับรู้ และพัฒนากลยุทธ์กับหลักการ 12% เกี่ยวกับการจัดตัวและรณรงค์ของสหภาพแรงงาน ขณะที่แทบไม่ถึง 10% เกี่ยวกับการฝึกอบรมและสร้างศักยภาพ  "มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องก้าวจากหลักการและการถกเถียงทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติจริง" รายงาน ITUC สรุป ในแง่หนึ่งไม่แปลกที่นวัตกรรมส่วนใหญ่มาจากขอบของขบวนการแรงงานเมื่อพูดถึงข้อมูล เครื่องมือเหล่านี้ยังใหม่อยู่ และสหภาพแรงงานมีวิธีการที่พิสูจน์แล้วที่สร้างมาหลายทศวรรษหรือแม้แต่ศตวรรษ ยิ่งกว่านั้น ตัวแทนและผู้จัดตัวส่วนใหญ่ยุ่งอยู่แล้ว ใครจะมีเวลาเพิ่มงานอีกชั้นที่ต้องฝึกอบรมและสร้างความสามารถเพื่อเชี่ยวชาญ แถมยังไม่รับประกันว่าจะได้ผล ทัศนคตินี้อาจเข้าใจได้ แต่ถ้าไม่เอาชนะมัน มันมีแนวโน้มจะฉุดสหภาพแรงงานไว้ในการจัดตัวชนชั้นแรงงานสำหรับยุคดิจิทัล สหภาพแรงงานที่ไม่เชี่ยวชาญข้อมูลอาจดิ้นรนในการดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ที่รู้จักแต่สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชัน เมื่อระบบ AI ถูกรวมเข้าสภาพแวดล้อมการทำงานมาตรฐาน การเจรจากับอัลกอริทึมจะไม่ใช่เรื่องรองอีกต่อไป ขณะที่ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดสำหรับการกู้คืนข้อมูลของคนทำงานยังอยู่ในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มและโรงงานที่จัดระเบียบตามทฤษฎีเทย์เลอร์แบบดิจิทัล สิ่งเหล่านี้เป็นแค่งานที่อยู่แนวหน้าของ "การทำให้เป็นข้อมูล" ของเศรษฐกิจเท่านั้น แม้ในที่ที่การใช้การติดตามและตัดสินใจอัตโนมัติจำกัดอยู่แค่เครื่องมือจัดตารางเวลาหรือติดตามการเข้าออกสำนักงาน ระบบเหล่านี้ก็ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีจัดการคนทำงาน การมีสหภาพแรงงานที่ผลักดันฝ่ายจัดการเรื่องข้อมูลและการจัดการด้วยอัลกอริทึมสามารถเป็นตัวยับยั้งไม่ให้ผู้จัดการนำระบบ AI ที่เข้มข้นกว่ามาใช้ อย่างน้อยสุด สหภาพแรงงานควรมีเป้าหมายให้ตัวแทนและผู้จัดตัวทุกคนได้รับการฝึกอบรม เพื่อสร้างความรู้และทักษะระดับพื้นฐานใน "การเจรจากับอัลกอริทึม" ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสหภาพควรสร้างทีมข้อมูลภายในที่สามารถทำงานร่วมกับตัวแทนและผู้จัดตัวเพื่อพัฒนากลยุทธ์ข้อมูลสำหรับแต่ละบริษัทหรืออุตสาหกรรม นี่ควรรวมการสนับสนุนทางเทคนิคสำหรับการกู้คืนข้อมูลและพัฒนานโยบายเฉพาะภาคว่าการเจรจาต่อรองร่วมเรื่องข้อมูลควรเป็นอย่างไร ในยุโรป พบว่ามีการกระตุ้นการเสริมศักยภาพของสหภาพแรงงานเพิ่มขึ้น ด้วยการผ่าน EU Platform Work Directive ซึ่งต้องกลายเป็นกฎหมายในรัฐสมาชิกทั้ง 27 ประเทศภายในสิ้นปี 2026 Platform Work Directive กำหนดชุดสิทธิกว้าง ๆ สำหรับคนทำงานแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้วยอัลกอริทึม รวมสิทธิได้รับคำอธิบายและการตรวจสอบโดยมนุษย์ของการตัดสินใจอัตโนมัติ และสิทธิสำหรับตัวแทนคนทำงานที่จะได้รับการปรึกษาหารือก่อนมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระบบ AI คนทำงานแพลตฟอร์มจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพแรงงานที่มีระบบนิเวศของความรู้และทักษะด้านข้อมูลอยู่ เพื่อใช้สิทธิด้านอัลกอริทึมใหม่เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ คนทำงานได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงานของพวกเขาเพื่อช่วยความพยายามจัดตัวมาตราบที่สหภาพแรงงานมีอยู่ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวในวันนี้คือในยุคข้อมูล มีข้อมูลมากกว่ามากที่อาจรวบรวมได้ และต้องการเครื่องมือหลากหลายเพื่อรวบรวมมัน เป้าหมายตามที่คนทำงานคนหนึ่งบอกเราในการวิจัยสำหรับการศึกษาของ ETUC ควรเป็นว่า "สิ่งใดก็ตามที่นายจ้างเห็น เรา (คนทำงาน) ก็ต้องเห็นเช่นกัน" การจัดการกับการครอบงำข้อมูลของทุนเหนือแรงงานอาจดูน่ากลัว แต่มันทั้งเป็นไปได้และจำเป็น ที่มา: Trade Unions Need to Fight Against Algorithmic Exploitation (Ben Wray, Jacobin, 27 September 2025)   * รายงานพิเศษ * แรงงาน * ต่างประเทศ * สหภาพแรงงาน * แรงงานแพลตฟอร์ม * AI * คนทำงานร่วม AI
dlvr.it
prachatai.com
เช็กจุดยืน 3 พรรคใหญ่ก่อนประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วย สสร.
เช็กจุดยืน 3 พรรคใหญ่ก่อนประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วย สสร. ภาพปก: (ซ้าย-ขวา) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ และบุณย์ธิดา สมชัย  XmasUser Tue, 2025-10-14 - 00:37 ประชาไท รวบรวมความเห็นของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยว่าแต่ละฝ่ายมีมุมมองอย่างไร ก่อนการประชุมรัฐสภา สมัยพิเศษ พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะเกิดขึ้นระหว่าง 14-15 ต.ค. 2568    'เพื่อไทย' รับร่างทุกพรรค-เสนอร่างตัวเองเป็นร่างหลัก เริ่มจากชนินทร์ รุ่นธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยเมื่อ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะรับหลักการทั้ง 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย เพื่อเร่งให้เกิดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุด พร้อมกับเสนอให้ใช้ร่างของพรรคเพื่อไทย เป็นร่างหลัก เนื่องจากเชื่อว่าสามารถเป็นจริงได้ ยึดโยงประชาชน และเลี่ยงโดนผู้เอาเรื่องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ชนินทร์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีความกังวลและข้อกังวลว่าร่างของพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากที่มา สสร.ของพรรคภูมิใจไทย มีจุดอ่อนเรื่องความยึดโยงกับประชาชน เนื่องจากคนที่จะเสนอตัวเป็น สสร.สามารถเข้าสู่กลไกการเลือกสมาชิกของรัฐสภาได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกลไกการกลั่นกรองหรือการเลือกตั้งทางตรงของประชาชน ซึ่งอาจนำไปสู่ สสร.จัดตั้ง ที่เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการฮั้วกัน โดยไม่ต้องสนใจคุณสมบัติหรือความเหมาะสมในสายตาของประชาชน ขณะที่ในส่วนของพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย มองว่ามีข้อติดใจในเรื่องสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพราะในอนาคตอาจมีผู้ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดกับคำวินิจฉัยหรือไม่ และสิ่งนี้อาจทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกทอดยาวออกไป 'ภูมิใจไทย' เสนอให้ใช้ร่าง ภท.เป็นร่างหลัก ยันไม่แตะหมวด 1-2 บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังการประชุมพรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อ 13 ต.ค. 2568 ระบุว่า เบื้องต้นได้รับแจ้งว่าจะใช้ร่างหลักในการพิจารณาเป็นร่างของพรรคภูมิใจไทย และยืนยันเด็ดขาดว่าไม่ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ต่อกรณีที่สื่อถามว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องหมวด 1 และหมวด 2 แล้วฝั่งของพรรคร่วมรัฐบาลก็สามารถโหวตให้ได้หรือไม่ บุณย์ธิดา กล่าวว่า หลักการของเราชัดเจน ไม่ว่าในปัจจุบัน หรือในอนาคต ต้องไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และหมวด 2 เด็ดขาด และร่างไหนที่ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และหมวด 2 พรรคร่วมฯ ก็พร้อมพิจารณา  "หลักการของเราชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันนี้ ในอนาคต หรือว่าในข้างหน้าอย่างไรก็ตามแต่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในฉบับนี้ หรือฉบับข้างหน้า พวกเรายืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 ร่างไหนก็ตามแต่ที่ไม่มีการแก้ไขหมวด 1 หรือหมวด 2 พวกเราก็สามารถพิจารณาได้" บุณย์ธิดา กล่าว ต่อกรณีที่สื่อถามว่าส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยกังวลว่ารัฐสภาจะรับพิจารณาเฉพาะร่างของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนตามบันทึกข้อตกลง (MOA) นั้น โฆษกพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าการพิจารณาจะยึดตามเนื้อหาสาระของแต่ละร่างเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นร่างของพรรคใด ซึ่งประเด็นนี้จะมีการหารือในที่ประชุมวิปรัฐบาลอีกครั้งในวันที่ 14 ต.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันประชุมรัฐสภา สมัยพิเศษ ต่อกรณีที่สื่อถามว่าที่ประชุมฯ มีมติ สส.พรรคร่วมรัฐบาล เรื่องแนวทางการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนหรือไม่ บุณย์ธิดา กล่าวว่าจริงๆ ในเรื่องการโหวตรัฐธรรมนูญเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกทุกคนอยู่แล้ว และในเบื้องต้น คาดว่าจะเป็นการโหวตในทิศทางเดียวกัน เพียงแต่ว่าเราคงไม่ออกมาบอกว่าเป็นมติพรรค เพราะว่าเรื่องการโหวตเป็นเอกสิทธิ์ของ สส. บุณย์ธิดา กล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรคร่วมฯ ยังมีความกังวล คือเรื่องเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง และตอนนี้กำลังวิเคราะห์ และตีความทางกฎหมายอยู่ว่า หากลงมติรับรองไปแล้ว จะเกิดปัญหาตามมาภายหลังหรือไม่ 'ปชน.' ไม่ขัดใช้ร่าง ภท.เป็นร่างหลัก แต่ต้องยึดโยงประชาชนมากที่สุด ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนวันนี้ (13 ต.ค.) ถึงความพร้อมในการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วย สสร. 3 ฉบับ โดยณัฐพงษ์ ระบุว่า พรรคได้เตรียมผู้อภิปรายเรื่องนี้ไว้หลายคน โดยจะชี้ให้เห็นว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ช่วยแก้ไขปัญหาปากท้อง และคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างไร ควบคู่ไปกับประเด็นด้านสิทธิเสรีภาพและประเด็นทางการเมือง ต่อกรณีที่สื่อถามว่าคิดอย่างไรหากจะใช้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลัก ทางณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นสิทธิของทุกพรรคที่จะเสนอร่างของตัวเอง แต่ที่สำคัญคือต้องสู้กันด้วยเหตุผลว่าร่างของใครจะทำให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่ยึดโยงกับประชาชน และเชื่อว่า ทุกฝ่ายจะรับวาระ 1 ทุกร่าง และไปหารือในรายละเอียดชั้น กมธ. ต่อกรณีที่สื่อถามว่า หากเสียงของรัฐบาลมีมากกว่า 146 เสียงแล้วตอนนี้ จะขัดกับบันทึกข้อตกลง (MOA) หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาชน มองว่า ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่จะใช้แบ่งฝ่ายค้านกับรัฐบาลได้อย่างชัดเจนเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาจึงจะสำเร็จได้ ดังนั้น การมีเสียงเพิ่มขึ้นจึงไม่น่าเป็นปัญหา หัวหน้าพรรคประชาชน ยังได้กล่าวถึงความกังวลของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยอาจร่วมมือกันผลักดันร่างของพรรคเพื่อไทยตกไป โดยระบุว่าไม่น่ามีประเด็นที่น่าห่วงใย เพราะทิศทางของทุกฝ่ายรวมถึง สว. บางส่วน ต่างเห็นตรงกันว่าควรรับทุกร่างไว้พิจารณาในวาระแรก ปชป.ให้ สสร.ร่าง รธน.ใหม่ได้ แต่ห้ามแตะหมวด 1-2  ด้านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ความเห็นเช่นกันว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 พรรคมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทั้งจำนวนและที่มาของ สสร.ที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า 'ห้ามรัฐสภาให้ประชาชนเลือกคนยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง'  นอกจากนี้ จุรินทร์ ระบุถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.ได้ แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 สำหรับรัฐธรรมนูญ หมวด 1 ว่าด้วยรูปแบบของรัฐและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ * ข่าว * การเมือง * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สภาร่างรัฐธรรมนูญ * บุณย์ธิดา สมชัย * ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ * พรรคเพื่อไทย * พรรคประชาชน * พรรคภูมิใจไทย * พรรคประชาธิปัตย์
dlvr.it
prachatai.com
ทำไมบางประเทศหันมา 'จ้างคนนอก' แบบ 'Gig Economy' จารกรรมข้อมูล-สอดแนมออนไลน์
ทำไมบางประเทศหันมา 'จ้างคนนอก' แบบ 'Gig Economy' จารกรรมข้อมูล-สอดแนมออนไลน์ ภาพปก:  XmasUser Mon, 2025-10-13 - 17:13 มีบทความที่สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่หน่วยข่าวกรองรัฐบาลต่างๆ เริ่มจ้างงานกลุ่มคนแบบพาร์ตไทม์ หรือฟรีแลนซ์ ให้ช่วยทำการจารกรรมออนไลน์ (Cyberespionage) แทนการใช้เจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง ทำให้รัฐเหล่านี้ปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายขึ้นเวลาที่คนเหล่านี้ถูกจับกุม ลดความเสี่ยงด้านการทูต และต้นทุน ขณะเดียวกัน ทำให้แก๊งอาชญากรได้เข้าถึงข้อมูลรัฐเพิ่มขึ้น กลายเป็นสงครามผสมผสานที่รวมระหว่างอาชญากรรมข้ามชาติ และการสอดแนมบ่อนทำลายของต่างชาติ เข้าไปไว้ด้วยกัน   โลกของเรากำลังกลายเป็นยุคสมัยที่มีการใช้สงครามแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Warfare ที่ใช้ทั้งกำลังทหารตามแบบฉบับสงครามดั้งเดิม และยุทธศาสตร์สงครามนอกแบบที่ไม่ได้อาศัยทหาร และหนึ่งในนั้นคือ การจารกรรมไซเบอร์  (Cyberespionage) ไม่เพียงเท่านั้น ในบางประเทศเริ่มสร้างความพร่าเลือนระหว่างผู้กระทำที่เป็นรัฐ และผู้กระทำที่ไม่ใช่รัฐ ด้วยการหันไปจ้างงานชั่วคราวให้คนนอกทำการจารกรรมข้อมูลให้ หรือที่เรียกว่า "เศรษฐกิจจ้างงานชั่วคราวให้จารกรรมออนไลน์" (The Cyberespionage Gig Economy) ชื่อเรียกนี้มาจากบทความของ ‘ทอม ยูเรน’ นักเขียนเรื่องไอทีที่เคยเป็นนักวิเคราะห์อาวุโสของศูนย์นโยบายไซเบอร์ ประจำสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย ASPI ผู้ที่เคยร่วมโครงการเกี่ยวกับประสิทธิภาพการโจมตีทางไซเบอร์และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO มาก่อน ยูเรน เปิดเผยในบทความว่า หน่วยงานด้านข่าวกรองต่างประเทศหลายแห่งของโลกกำลังทดลองใช้วิธีการใหม่ โดยอาศัยตัวแทนจากภายในประเทศเป้าหมายให้ทำงานแบบปฏิบัติการข้ามประเทศ นั่นก็คือการจ้างงานแบบพาร์ตไทม์ หรือฟรีแลนซ์ ที่เรียกว่า Gig Economy โดยให้บุคคลที่ไม่ใช่คนของรัฐ ทำการจารกรรมไซเบอร์แทนพวกเขา ยกตัวอย่าง กรณีที่วัยรุ่น 2 คนในเนเธอร์แลนด์ถูกจับกุมตัวหลังจากที่มีรายงานว่าพวกเขาถูกเกณฑ์โดยกลุ่มแฮกเกอร์ฝ่ายสนับสนุนรัสเซียผ่านทางแอปฯ เทเลแกรม ให้ช่วยเหลือปฏิบัติการจารกรรมทางไซเบอร์ ทางการเนเธอร์แลนด์ กล่าวหาว่า วัยรุ่น 2 รายนี้ได้รับมอบหมายงานให้ทำการเก็บข้อมูล Wi-Fi ตามเส้นทางในกรุงเฮก ที่ทอดผ่านหน่วยงานด้านการปราบปรามและไต่สวนอาชญากรรมของยุโรปอย่าง Europol กับ Eurojust รวมถึงผ่านสถานทูตแคนาดา ยูเรน ระบุุว่า หน่วยงานข่าวกรองของรัสเซียได้ทำการเกณฑ์คนในท้องที่ทั่วยุโรปนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา พวกเขาได้รับการจ้างวานให้ทำการก่อวินาศกรรม สอดแนม และที่น่าแปลกคือมีการจ้างให้พ่นสีกราฟิตีด้วย แต่เรื่องการจ้างคนในท้องที่ให้มาทำงานจารกรรมไซเบอร์นั้น นับเป็นเรื่องใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกินแปลกเกินไปนัก เพราะการทำจารกรรมไซเบอร์มักจะต้องทำจากสถานที่ที่อยู่ไกลอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียจะเคยมีประวัติการเดินทางไปในที่ของเป้าหมาย เพื่อปฏิบัติการจารกรรมที่นั่นโดยตรงหลังจากที่ทำการจารกรรมเจาะระบบจากที่ห่างไกลได้ไม่สำเร็จ แต่การเข้าใกล้เป้าหมายจารกรรมมากเกินไปก็สร้างความเสี่ยงเช่นกัน ย้อนไปเมื่อปี 2561 ทางการเนเธอร์แลนด์ได้จับกุมชาวรัสเซียจากหน่วยข่าวกรองการทหารรัสเซีย GRU หน่วย 26165 รวม 4 ราย ในขณะที่พวกเขากำลังทำการพยายามแฮกเข้าสู่ Wi-Fi ขององค์การห้ามอาวุธเคมี OPCW ในกรุงเฮก ซึ่งในตอนนั้น OPCW กำลังสืบสวนสอบสวนกรณีการโจมตีด้วยอาวุธเคมีต่อ เซอกี สกรีปาล และลูกสาวของเขาชื่อ ยูเลีย โดยที่เซอกี สกรีปาล เคยเป็นสายลับรัสเซียมาก่อน แต่ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสายลับ 2 หน้าให้กับสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ GRU ของรัสเซียยังเคยเล็งเป้าโจมตีจารกรรมทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ และองค์การนานาชาติต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในกีฬา โดยมีปฏิบัติการในสถานที่จริงคือนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล และ โลซาน ของสวิตเซอร์แลนด์ เป้าหมายของปฏิบัติการเหล่านี้คือการเข้าถึงข้อมูล Wi-Fi ของเป้าหมาย โดยการทำให้ Wi-Fi ของเป้าหมายมีช่องโหว่ให้เล็ดลอดเข้าไปสอดแนมได้ แล้วจากนั้นก็จะมีการส่งต่องานให้กับทีมเก็บข้อมูลในรัสเซียเข้าไปล้วงข้อมูลเหล่านั้น ยูเรน บอกว่า เขาไม่แน่ใจว่าวัยรุ่นในเนเธอร์แลนด์ จะมีความสามารถมากพอหรือไม่ที่จะแทนที่แฮกเกอร์ผู้มีทักษะของรัสเซีย แต่ที่แน่ๆ คือการจ้างวัยรุ่นเหล่านี้แบบชั่วคราวราคาถูกกว่า และการใช้งานวัยรุ่นเหล่านี้ให้ทำงานปฏิบัติการเบื้องต้นคือการสำรวจเส้นทางโครงข่าย Wi-Fi ก็จะทำให้ GRU ได้เปรียบมากขึ้นในการปฏิบัติการจากระยะไกลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งที่รัสเซียหันมาใช้งานคนในประเทศเป้าหมาย เช่น เนเธอร์แลนด์ ในการปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์นั้น ไม่ใช่เพราะว่าข้อมูลเหล่านั้นมีคุณค่าต่อพวกเขามาก แต่เป็นเพราะความยากในการเข้าถึง เพราะประเทศนั้นๆ มีระบบต่อต้านปฏิบัติการข่าวกรองของศัตรูที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปฏิบัติการจารกรรมเสี่ยงต่อการถูกจับได้มากขึ้น จึงต้องจ้าง "เบี้ยหมาก" ในประเทศนั้นๆ ให้ทำงานแทนคนของตัวเอง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อความเสื่อมเสียทางการทูต วิธีการทำงานของหน่วยข่าวกรองตะวันตกที่ต่างจากจีน ยูเรน ยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งคือกรณีที่หน่วยงานสืบราชการลับของสหรัฐฯ ได้ทำการปราบปรามโครงข่ายจารกรรมในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ได้เป็นกล่องซิมมากกว่า 300 กล่อง และซิมการ์ดราว 100,000 ชุด ซึ่งทางหน่วยงานบอกว่าเป็นโครงข่ายที่ใช้ในการส่งคำข่มขู่คุกคามให้กับเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ รวมถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะใช้ก่อเหตุในการทำให้การโทรคมนาคมสื่อสารหยุดชะงัก ยูเรน มองว่า การกระทำจารกรรมดังกล่าวนี้น่าจะมาจากกลุ่มแก๊งอาชญากรรมมากกว่ามาจากการกระทำจากรัฐใดรัฐหนึ่ง เพราะขอบข่ายมันกว้างเกินไปในการใช้คุกคามเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็เล็กเกินกว่าที่จะทำให้การโทรคมนาคมสื่อสารหยุดชะงักได้ ยูเรน จึงวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นกลุ่มอาชญากรหรือแก๊งค้ายามากกว่า เพราะลักษณะของปฏิบัติการคือการสแปม หรือส่งข้อมูลทีละจำนวนมาก เพื่อกลบเกลื่อนข้อมูลที่แท้จริงที่แก๊งอาชญากรรมต้องการส่งให้อีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ทางการตรวจจับข้อมูลของอาชญากรได้ยากขึ้น เนื่องจากต้องจัดการข้อมูลทีละจำนวนมาก บทความของนักวิเคราะห์เปรียบเทียบว่าหน่วยงานข่าวกรองของตะวันตกนั้นบ้าการควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ทำให้พวกเขาไม่น่าจะใช้วิธีการจ้างคนอื่นแบบเหมาช่วง เพื่อทำงานสื่อสารข่าวกรองลับหรืองานจารกรรมไซเบอร์ แต่หน่วยงานข่าวกรองประเทศอื่นๆ ไม่คิดแบบนั้น เช่น หน่วยข่าวกรองของจีน ที่มักจะจัดจ้างให้กลุ่มผู้ประกอบการทางธุรกิจในการทำงานจารกรรมให้พวกเขา หน่วยงานข่าวกรองของจีนยอมให้มีความเข้มงวดที่น้อยลง เพื่อแลกกับการที่พวกเขาสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้บ้างบางส่วนถ้าหากถูกจับได้ อีกทั้งยังทำให้พวกเขาได้ข้อมูลข่าวกรองมาเยอะมากด้วย ในบทความยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทบวงใหม่ คือ ทบวงประสิทธิภาพของรัฐบาล หรือ DOGE ที่โดนัลด์ ทรัมป์ กับ อีลอน มัสก์ ตั้งขึ้นอย่างที่ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ โดยที่ทบวงนี้มีลักษณะการทำงานแบบที่วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ มองว่า เสี่ยงต่อการทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันอยู่ภายใต้ความเสี่ยง อีกทั้ง DOGE ยังปฏิบัติงานอยู่นอกกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และตัวองค์กรเองก็มีลักษณะโครงสร้างอำนาจ แนวทางปฏิบัติ และแม้กระทั่งการสื่อสารกันเองที่ไม่ชัดเจน กลายเป็นหน่วยงานที่เสี่ยงต่อการทำให้หน่วยงานรัฐบาลของตัวเองถูกจารกรรมเสียเอง สงครามผสมผสานที่พร่าเลือนพรมแดนของ 'อาชญากรรม' กับ 'ปฏิบัติการรัฐ' การจ้างงานชั่วคราวแบบ “Gig Economy” เปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐอาศัย "อาชญากรรม" เป็นเครื่องมือในการทำสงครามผสมผสานที่พยายามบ่อนทำลายสังคมจากภายใน แทนที่พวกเขาจะใช้สายลับหรือทหาร พวกเขากลับใช้การจ้างวานกลุ่มคน หรือไม่เช่นนั้นก็สมคบคิดกับกลุ่มแก๊งอาชญากรรมหรือกลุ่มอาชญากรอื่นๆ ที่ทำตัวเป็นผู้กระทำการแทนภาครัฐ อาชญากรเหล่านี้จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ซึ่งอาชญากรรมเหล่านี้จะนับเป็นยุทธวิธีส่วนหนึ่งของประเทศที่สมคิดกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม การวางเพลิง การโจมตีทางไซเบอร์ การขโมยข้อมูล การลักลอบขนสินค้าหรือบุคคล และอาจจะถึงขั้นการจ้างวานสังหาร การจ้างวานอาชญากรทำงานแทนจะกลายเป็นการทำให้ประเทศที่สั่งการ สามารถแอบซ่อนการกระทำของตัวเองได้ โดยที่พวกเขาจะสร้างความโกลาหลภายใต้ฉากหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นอาชญากรรม "ทั่วไป" องค์กรตำรวจยุโรป “Europol” เตือนว่า แก๊งอาชญากรรมเริ่มทำหน้าที่เป็นตัวแทนในปฏิบัติการสงครามผสมผสานมากขึ้นเรื่อยๆ ให้กับประเทศที่เป็นอริกับยุโรป เป็นเหตุให้มีภัยคุกคามทำลายเสถียรภาพต่อยุโรปเพิ่มมากยิ่งขึ้น แคเทอรีน เดอ โบลล์ ผู้อำนวยการบริหารของ Europol เปิดเผยว่า กลุ่มแก๊งอาชญากรรมเริ่มทำตัวเป็นส่วนขยายของภัยคุกคามแบบผสมผสานที่มาจากต่างชาติ โดยการผสมผสานการก่ออาชญากรรม กับการบ่อนทำลายต่างชาติเข้าไว้ด้วยกัน มีการวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ดึงดูดให้บางประเทศใช้วิธีการนี้คือเรื่องการสบผลประโยชน์กันทั้งฝ่ายภาครัฐ และฝ่ายอาชญากร อีกทั้งยังทำให้ภาครัฐปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายขึ้นด้วยเวลาที่อาชญากรรมอย่างการแฮ็กถูกเปิดโปง ขณะเดียวกัน กลุ่มอาชญากรก็หวังพึ่งพิงภาครัฐให้ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นผิดเมื่อถูกจับดำเนินคดี นอกจากนี้ ฝ่ายอาชญากรยังได้ประโยชน์จากฝ่ายภาครัฐ คือการสามารถเข้าถึงทรัพยากรของภาครัฐกับข้อมูลต่างๆ ของภาครัฐได้ อีกทั้งยังกลายเป็นช่องทาง "ธุรกิจ" ใหม่สำหรับพวกเขาได้ด้วย การก่อเหตุวินาศกรรมทางไซเบอร์ หรือการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์อื่นๆ ก็รวมอยู่ในสงครามผสมผสานแบบจ้างวานคนนอกอยู๋ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ที่มีประเทศบางประเทศจ้างวานให้มีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อประเทศในยุโรป กลายเป็นการทำให้เส้นแบ่งระหว่าง "อาชญากรรม" กับ "ปฏิบัติการจารกรรม" จากภาครัฐมีความพร่าเลือน ยกตัวอย่างกรณีที่รัสเซียจ้างให้แฮ็กเกอร์ทำการแฮ็กเพื่อฝัง "มัลแวร์เรียกค่าไถ่" ซึ่งเป็นการล็อกเครื่องของเหยื่อไม่สามารถใช้งานได้จนกว่าจะจ่ายค่าไถ่ให้ การโจมตีเช่นนี้ทำให้เกิดความชะงักงันต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของยุโรป และต่อธุรกิจในยุโรป พวกแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการเรียกค่าไถ่ ส่วนรัสเซียก็จะได้ประโยชน์จากการบรรลุเป้าหมายสร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจให้กับยุโรป Europol ระบุว่า การโจมตีทางไซเบอร์โดยเฉพาะจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่เช่นนี้เป็นภัยคุกคามผสมผสานขั้นสูง ที่ส่งผลต่อโรงพยาบาล, โรงไฟฟ้า และโครงข่ายอินเทอร์เน็ตของรัฐบาลได้ อีกทั้งยังบอกว่าการสั่งการเช่นนี้สามารถกระทำได้เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที โดยการที่ประเทศคู่อริส่งข้อความแบบเข้ารหัสข้ามพรมแดนเข้ามาที่ประเทศในยุโรปก็จะจ้างงานให้บ่อนทำลายยุโรปได้แล้ว สิ่งที่ทำให้ภาครัฐกับแก๊งอาชญากรประสานงานกันได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศนั้นๆ ด้วย เช่น แอพพลิเคชันสื่อสารแบบเข้ารหัส, ดาร์คเว็บ และเงินสกุลคริปโต ที่ช่วยให้ทั้งฝ่ายภาครัฐและแฮกเกอร์ผู้รับงานติดต่อกันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน อีกประเทศหนึ่งที่ควรจับตามองในเรื่องการจ้างงานภายนอกเพื่อจารกรรมไซเบอร์ คือ ‘เกาหลีเหนือ’ เพราะเกาหลีเหนือเป็นที่รู้จักกันดีว่าได้ทำการโจรกรรมเงินสกุลคริปโตและก่ออาชญากรรมไซเบอร์ทางด้านการเงิน ดังนั้น การที่รัสเซีย กับเกาหลีเหนือ เพิ่งจะมีข้อตกลงไม่นานนี้ในเรื่องความร่วมมือทางด้านไซเบอร์ จึงเป็นเรื่องน่ากังวลว่าจะกลายเป็นการสร้าง "คู่หูทำลายล้างเฉพาะทาง" ขึ้นมาหรือไม่ จากการที่เกาหลีเหนือ มีความช่ำชองเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ ส่วนรัสเซีย ก็มีสมรรถภาพมากพอในการโจมตีทางไซเบอร์   เรียบเรียงจาก The Cyberespionage Gig Economy, Tom Uren, 03-10-2025 https://www.lawfaremedia.org/article/the-cyberespionage-gig-economy The Cyberespionage Gig Economy, Seriously Risky Business, Tom Uren, 02-10-2025 https://news.risky.biz/the-cyberespionage-gig-economy/ Criminal Networks as Instruments of Hybrid Warfare in Europe, Robert Lansing Institute, 02-10-2025 https://lansinginstitute.org/2025/10/02/criminal-networks-as-instruments-of-hybrid-warfare-in-europe/   * รายงานพิเศษ * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * ไอซีที * ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ * รัสเซีย * เกาหลีเหนือ * สหภาพยุโรป * เนเธอร์แลนด์ * การโจมตีไซเบอร์ * การจารกรรมออนไลน์ * การสอดแนม * การก่อวินาศกรรม * Europol * แฮกเกอร์ * แก็งอาชญากรรม * การจ้างงานชั่วคราว * Gig economy
dlvr.it
prachatai.com
'อนุทิน' หวังร่าง สสร.คืบหน้าใน 4 เดือน-ตัดสินร่างหลักผ่านประชุมรัฐสภา
'อนุทิน' หวังร่าง สสร.คืบหน้าใน 4 เดือน-ตัดสินร่างหลักผ่านประชุมรัฐสภา ภาพปก: อนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อ 1 ต.ค. 2568 (ที่มา: เฟซบุ๊ก พรรคภูมิใจไทย) XmasUser Mon, 2025-10-13 - 16:06 'อนุทิน' หวังกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญคืบหน้า ใช้ร่างไหนเป็นร่างหลักให้กลไกรัฐสภาตัดสิน ซึ่งจะมีการประชุม 14-15 ต.ค.นี้ ด้าน ‘พินิจ’ อดีต สส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ขนผู้สมัครลำปาง และ สจ.ลำพูน สมัครเข้า ‘ภูมิใจไทย’ แล้ว เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า   13 ต.ค. 2568 สื่อ The Reporters รายงานวันนี้ (13 ต.ค.) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามสื่อถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภาจะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. (สภาร่างรัฐธรรมนูญ) ระหว่าง 14-15 ต.ค.นี้ ตัวของนายกฯ อยากให้ร่างของใครเป็นร่างหลัก โดยอนุทิน ตอบสื่อว่าต้องไปหารือในที่ประชุมรัฐสภาระหว่าง 14-15 ต.ค. 2568 ทุกอย่างให้เป็นไปตามกลไกรัฐสภา ตอนนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่เรามีร่วมกันกับหลายพรรค และเป็นส่วนหนึ่งของ MOA ที่ได้ทำไว้กับพรรคประชาชนที่ได้มีข้อตกลงกันไว้ พร้อมยอมรับว่าหากรัฐบาลอยู่ไม่ครบ 4 เดือน กระบวนการอาจไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ได้เริ่มต้นในชั้นรัฐสภาแล้ว ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานที่สำคัญ ต่อกรณีที่สื่อถามว่าได้มีการหารือนอกรอบกับสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ อนุทิน กล่าวปฏิเสธในเรื่องนี้ และยืนยันไม่ได้มีการหารือกับ สว. ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย ซึ่งแต่ละพรรคมีจุดยืนของตนเอง สำหรับพรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ส่วนมาตราอื่นๆ ก็ต้องไปหารือกันในสภาฯ และหวังว่าจะผ่านวาระ “อย่างน้อยก็ได้วางรากฐานเอาไว้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ” อนุทิน กล่าว และระบุว่า ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะผลักดันให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านไปได้หรือไม่นั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน และเราก็ตระหนักตลอดว่าที่พรรคประชาชนสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนหนึ่งคือการเข้ามาเริ่มแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ต่อมา อนุทิน ได้ตอบคำถามสื่อต่อกรณีแนวทางการทำประชามติยกเลิกข้อตกลงร่วม MOU 43-44 ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ระบุว่า เดี๋ยวดูผลการศึกษาของ 2 กมธ. ทั้งสภาล่าง และสภาสูง และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย คงรวบรวมความเห็น และยืนยันว่าทุกอย่างต้องมีทางออก อนุทิน กล่าวต่อว่า คณะมนตรีคือกลุ่มที่จะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก เราต้องรวบรวมความเห็นให้ได้มากที่สุด ยกเลิกได้หรือไม่ได้ต้องมานั่งดู และต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “สิ่งหนึ่งที่ให้คำยืนยันได้ก็คือรัฐบาลจะไม่ทำอะไรก็ตาม ที่ทำให้ประเทศเสียเปรียบ ผมให้หลักไปแบบนี้ เพราะมีคนทำงาน คนเจรจา คนศึกษาอยู่ สุดท้ายแล้วค่อยมาตัดสินใจ” อนุทิน กล่าว ต่อคำถามสื่อที่ถามว่ายังเดินหน้าทำประชามติจนกว่าจะมีผลศึกษาจากคณะกรรมาธิการฯ ชุดต่างๆ ออกมา ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการดำเนินการยังคงเป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา วันเดียวกันนี้ สื่อ The Reporters รายงานว่า พินิจ จันทรสุรินทร์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดลำปาง พรรคเพื่อไทย และนักการเมืองอาวุโส นำทีมงานเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางการต้อนรับจากอนุทิน นายกรัฐมนตรี สันติ พร้อมพัฒน์ และทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยทรงศักดิ์ กล่าวว่า คณะของพินิจ ที่เข้าร่วมกับพรรคในวันนี้ ประกอบด้วย ผู้สมัคร สส.ลำปาง 4 คน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน 5-6 คน ซึ่งทั้งหมดจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทยอย่างแน่นอน * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * อนุทิน ชาญวีรกูล * พรรคภูมิใจไทย * ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ * MOU44 * MOU43 * กัมพูชา * พินิจ จันทรสุรินทร์ * ลำปาง
dlvr.it
prachatai.com
'ปชป. - ภท.' เผยจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่แตะหมวด 1-2
'ปชป. - ภท.' เผยจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่แตะหมวด 1-2 ภาพปก: (ซ้าย) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ (ขวา) บุณย์ธิดา สมชัย (ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และพรรคภูมิใจไทย) XmasUser Mon, 2025-10-13 - 14:55 ‘จุรินทร์’ พรรคประชาธิปัตย์ และ ‘บุณย์ธิดา’ พรรคภูมิใจไทย ย้ำจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ส่วนร่างของพรรคภูมิใจไทยอาจได้เป็นร่างหลักในวาระที่ 2   13 ต.ค. 2568 The reporters รายงานวันนี้ (13 ต.ค. 68) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรกที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ โดยได้ตั้งคำถามถึงจุดยืนของรัฐบาลอีกครั้งว่าจะลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่เปิดให้มีการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 หรือไม่ จุรินทร์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยสอบถามประเด็นดังกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อครั้งรัฐบาลแถลงนโยบายแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จึงต้องการถามย้ำเพื่อความชัดเจนจากรัฐบาล เนื่องจากประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่หลายพรรคการเมือง รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ยึดถือเป็นหลักการมาโดยตลอด คือสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แต่ต้องไม่มีการแก้ไขหมวด 1 ซึ่งว่าด้วยรูปแบบของรัฐและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหมวด 2 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ จุรินทร์ ยังกล่าวถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย, พรรคประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล ว่าแม้จะมีความแตกต่างในรายละเอียดเรื่องจำนวนและที่มาของ ส.ส.ร. แต่ทุกร่างต้องอยู่ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า สสร. จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนไม่ได้ นอกจากนี้ จุรินทร์ยืนยันว่าตนจะเป็นหนึ่งในผู้อภิปรายในนามพรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมรัฐสภาวันพรุ่งนี้ โดยจะใช้เวลาอภิปรายสั้นๆ ตามเวลาที่พรรคได้รับจัดสรรประมาณ 40-45 นาที ขณะที่ที่สำนักงานใหญ่พรรคภูมิใจไทย บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังจากมีการประชุมของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคภูมิใจไทย ก่อนที่ 14-15 ต.ค.นี้ จะมีการประชุมของรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. ทั้ง 3 ร่าง บุณย์ธิดา กล่าวว่า วันนี้มีการคุยเรื่องเนื้อหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง ว่ามีหลักการสำคัญอย่างไร โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า 1. ทางพรรคยังไม่ได้ระบุตัวผู้อภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด แต่คนที่มีรายชื่อที่จะอภิปรายแน่ๆ ก็คือ กรวีร์ ปริศนานันทกุล และอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ 2. ยังไงก็ต้องไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1-2 "ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นอย่างไร หรือลักษณะใด พวกเรายังยืนยันว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขหมวด 1-2 อันนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุด "หลักการของเราชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันนี้ ในอนาคต หรือว่าในข้างหน้าอย่างไรก็ตามแต่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในฉบับนี้ หรือฉบับข้างหน้า พวกเรายืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 ร่างไหนก็ตามแต่ที่ไม่มีการแก้ไขหมวด 1 หรือหมวด 2 พวกเราก็สามารถพิจารณาได้" บุณย์ธิดา กล่าวย้ำ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า หลักการของทั้ง 3 ร่างยังมีการคุยกันอยู่ในเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ บุณย์ธิดา กล่าวต่อว่า การโหวตทั้ง 3 ร่างเป็นเอกสิทธิ์ของ สส.อยู่แล้ว แต่คิดว่าการสนับสนุนของ สส.จะไปในทิศทางเดียวกัน แต่ไม่สามารถบอกว่าเป็นมติของพรรคฯ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเอกสิทธิของ สส.ในการลงคะแนน พรรคภูมิใจไทยไม่ได้บังคับใครมาโหวตให้อยู่แล้ว ต่อประเด็นเรื่องความกังวลร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โฆษกพรรคภูมิใจไทย มองว่าเป็นเรื่องของเนื้อหาของทั้ง 3 ร่าง เพราะกำลังมีการวิเคราะห์ว่าถ้าหากได้รับร่างไปแล้ว จะมีปัญหาในส่วนไหนหรือไม่ อันนี้เป็นการคุยกันอยู่ในเบื้องต้น บุณย์ธิดา กล่าวด้วยว่า เท่าที่ได้รับทราบมา ร่างของพรรคภูมิใจไทยจะเป็นร่างหลัก บุณย์ธิดา กล่าวว่า ส่วนเรื่อง MOU 43-44 ยังไม่ได้มีการคุยกัน ส่วนของสภาฯ เรายังมีการคุยใน กมธ.วิสามัญ ในการศึกษาเนื้อหาทั้งหมดของ MOU 43-44 และต้องถาม กมธ.ว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงไหน เพราะว่าเป็นการทำงานควบคู่กันระหว่างรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร ด้านอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่วันนี้มาร่วมยืนแถลงข่าวร่วมกับ สส.บุณย์ธิดา ชี้แจงว่าที่เห็นเขามาร่วมแถลงข่าวร่วมกับพรรคภูมิใจไทยนั้น เขาไม่ได้มาในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่มาในฐานะ สส.ที่สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น  * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ * พรรคภูมิใจไทย * พรรคประชาธิปัตย์ * จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
dlvr.it
prachatai.com
'พิพิธภัณฑ์สามัญชน' จัดแสดงสิ่งของสะท้อนความหวัง-ความฝันผู้มีส่วนร่วมการชุมนุมใหญ่ปี’63
'พิพิธภัณฑ์สามัญชน' จัดแสดงสิ่งของสะท้อนความหวัง-ความฝันผู้มีส่วนร่วมการชุมนุมใหญ่ปี’63 ภาพประกอบถ่ายโดย แมวส้ม ประชาไท XmasUser Mon, 2025-10-13 - 13:49 ในวาระครบรอบ 5 ปี การชุมนุมครั้งใหญ่ปี 2563 'พิพิธภัณฑ์สามัญชน' เปิดนิทรรศการ ‘Once upon a time 63’ จัดแสดงสิ่งของเรื่องเล่าจาก 40 กว่าคน ที่มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวในปี 2563-2564 เพื่อสะท้อนความหวังและความฝันในช่วงเวลานั้น   เมื่อ 12 ต.ค. 2568 พิพิธภัณฑ์สามัญชนเปิดนิทรรศการ “Once Upon A Time 63” (กาลครั้งหนึ่งของฉันในปี’63) ที่ Kinjai Contemporary เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยเป็นการจัดแสดงวัตถุสิ่งของ พร้อมกับเรื่องเล่าผ่านประสบการณ์ส่วนตัวจากผู้คนมากหน้าหลายตากว่า 40 คนที่เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวและการชุมนุมครั้งใหญ่ในช่วงปี 2563-2564 สะท้อนให้เห็นถึงความหวัง ความฝันในห้วงเวลานั้น ชมภาพบรรยากาศงานนิทรรศการ สามารถคลิกลูกศรซ้าย-ขวา เพื่อเลื่อนดูภาพ อานนท์ ชวาลาวัณย์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สามัญชน พาเดินชมบริเวณชั้น 3 และกล่าวถึงที่มาการจัดนิทรรศการนี้ว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีจากการชุมนุมครั้งใหญ่เมื่อปี 2563 จนถึงปัจจุบันข้อเรียกร้องรวมถึงชีวิตของผู้คนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยอย่างไร นิทรรศการนี้จึงพาชมสิ่งของต่างๆ พร้อมเรื่องราวจากหลากหลายคนในขบวนการเคลื่อนไหว ของทุกชิ้นที่นำมาจัดแสดงจึงมีเรื่องเล่าที่สะท้อนความหวังและความฝันหลายๆ อย่าง สำหรับสิ่งของที่ใช้จัดแสดงนั้นมาจากผู้มีส่วนร่วมกว่า 40 คน อาทิ อลิสา พฤกษอาภรณ์, ธีระพล อันมัย, นภัสสร บุญรีย์ (ป้านก) ณัฐพล เมฆโสภณ (เป้ ประชาไท), ขวัญข้าว ตั้งประเสริฐ, ยุกติ มุกดาวิจิตร, ‘ลูกเกด’ ชลธิชา แจ้งเร็ว อีกทั้งยังมีโซนให้ผู้ชมนิทรรศการร่วมวาดหมุดคณะราษฎร 63 ในรูปแบบของตัวเอง นอกจากนี้ ในบริเวณชั้น 2 ของนิทรรศการมีภาพยนตร์สารคดี “MOB 2020-2021” กำกับโดย สุพงศ์ จิตต์เมือง เปิดให้รับชมแบบพาโนรามาตลอดนิทรรศการ ซึ่งภาพยนตร์สารคดีดังกล่าวบันทึกเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงทางการเมืองของประเทศไทยในช่วงเดือน ก.ย. 2563 - ส.ค. 2564 และนำมาตัดต่อจนเป็นหนังความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง สำหรับวันเปิดนิทรรศการมีวงสนทนา Homecoming 63 #กาลครั้งหนึ่งของฉันในปี’63 ในรูปแบบ ‘วงธรรมชาติ’ ร่วมสนทนาและเล่าเรื่องราวจากมุมมองของตัวเองว่าในปี 2563 มีความคิด ความหวัง และความฝันเกี่ยวกับประเทศนี้ หรือเหตุการณ์ที่ยังตราตรึงใจแบบไม่รู้ลืม ทั้งนี้ นิทรรศการเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 ต.ค. 2568 เวลา 11.00 - 19.00 น. (ปิดวันจันทร์) ที่ KINJAI CONTEMPORARY เขตบางพลัด กทม.  * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * พิพิธภัณฑ์สามัญชน * KINJAI CONTEMPORARY * การชุมนุมปี 2563 * คนรุ่นใหม่ * การชุมนุมทางการเมือง
dlvr.it
prachatai.com
แนวโน้ม สว. รับหลักการร่าง สสร.ทุกพรรค-‘พิสิษฐ์’ เผยติดใจ 2 ประเด็นร่าง ปชน.
แนวโน้ม สว. รับหลักการร่าง สสร.ทุกพรรค-‘พิสิษฐ์’ เผยติดใจ 2 ประเด็นร่าง ปชน. XmasUser Mon, 2025-10-13 - 10:57 'สว.พิสิษฐ์' ยืนยันรับร่าง สสร. ทุกพรรค เพื่อมาหารือในชั้น กมธ. แม้ติดใจ 2 ประเด็นในร่างของ ปชน.คือการแก้ไข หมวด 1 และ 2 และ สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ด้าน ‘อลงกต’ หวั่นเจอประณามว่า ‘ขวางลำ’ หากไม่รับ   สืบเนื่องจาก 14-15 ต.ค. 2568 ที่ประชุมรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา จะมีวาระพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย สสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยปัจจุบัน มี 3 พรรคการเมืองที่เสนอเข้ามา ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย 13 ต.ค. 2568 เว็บไซต์ ข่าวสด รายงานเมื่อ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ซึ่งมีทั้งหมด 3 ฉบับว่า ส่วนตัวได้อ่านหมดแล้วทั้ง 3 ร่าง ดังนั้น ในการพิจารณารับหลักการวาระที่หนึ่ง ก็คงจะรับทุกร่าง เพราะแต่ละร่างก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย จะบอกว่าร่างใดร่างหนึ่งดีทั้งหมดแล้วเอาไปใช้เลยมันไม่มี ก็ต้องนำมาพูดคุยกันทั้ง 3 ร่างในวาระที่สอง ว่าจะเอาส่วนดีของร่างไหนมาพิจารณา ซึ่งก็เหมือนกับกฎหมายทั่วไป พิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า จริงๆ แล้วใช้เสียง สว.แค่ 1 ใน 3 หรือประมาณ 67 เสียง ซึ่งไม่เยอะ ดังนั้นในส่วนตัวจึงคิดว่าน่าจะผ่านวาระที่หนึ่งทั้ง 3 ร่างของพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม พิสิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวยังติดใจร่างของพรรคประชาชน ในการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ และอีกประเด็นคือสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามคำวินิจฉัยของศาล รธน. ห้ามให้ประชาชนเลือกโดยตรง  ซึ่งในร่างของพรรคประชาชนมี 2 เรื่องนี้ที่ยังติดใจเป็นหลัก แต่มีประเด็นอื่นที่ดี ก็อาจจะต้องเอามาใช้ เพราะฉะนั้น ส่วนตัวจะรับร่าง 3 ร่างก่อน และค่อยมาพิจารณาอีกว่าจะใช้อันไหนบ้าง ส่วนรายชื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของ สว.ที่ยังมีปัญหาอยู่นั้น พิสิษฐ์ กล่าวว่า รายชื่อทั้งหมดเราเริ่มต้นจากให้คณะกรรมาธิการสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กำหนดให้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง ได้โคต้าไปก่อน 1 รายชื่อ ในทั้งหมด 12 รายชื่อ จึงเหลือ 11 รายชื่อจาก 20 กมธ.สามัญประจำวุฒิสภา ซึ่งนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว.ในฐานะเลขานุการวิปวุฒิสภา เป็นผู้จับฉลากเอง ซึ่งตนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ซึ่งก็มี กมธ.การกฎหมาย และการยุติธรรม วุฒิสภา ที่เป็นปัญหา และเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ตนคุยกับเลขานุการ กมธ.การกฎหมายฯ เขาบอกว่าคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมวันนั้นก็เหมือนกับไม่พอใจว่าทำไมให้ชื่อ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กมธ.ฯ ไปเป็นกมธ.วิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญฯเลย โดยที่เขายังไม่รู้เลยทำไมเป็นอย่างนี้ ทำให้มีการทะเลาะกันในที่ประชุม จนล่าสุดเห็นมีบันทึกออกมา ซึ่งน่าจะส่งไปยังนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในวันที่ 13 ต.ค.นี้ ส่งคืนโควตานี้ไปดำเนินการใหม่ เมื่อถามว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้สว.คนใดมาเป็น กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญฯ แทน พิสิษฐ์​กล่าวว่า คงต้องจับฉลากใหม่อยู่ดีโดยจับเฉพาะกมธ.ที่ไม่ได้คราวที่แล้วซึ่งมีทั้งหมด 9 คณะ ก็จะจับขึ้นมาอีกหนึ่งให้ไปเป็นตัวแทน อย่างไรก็ตามตนไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าทางกมธ.การกฎหมายฯ ส่งชื่อนพ.เปรมศักดิ์ แต่แรก แต่เมื่อทาง กมธ.การกฎหมายฯ ถอนออกไปแล้วก็คงเอาตามมติของกมธ.การกฎหมายฯเป็นหลัก ส่วนที่นพ.เปรมศักดิ์ จะนำเรื่องนี้ไปพูดในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ก็คงห้ามไม่ได้ เพราะจริงๆเรื่องนี้อยู่ที่มติของกมธ.การกฎหมายฯ เราก็ต้องยึดตามนั้น ด้านเพจเฟซบุ๊กสื่อ The Standard และยูทูบ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ รายงานว่า เมื่อ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา อลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภา ได้แถลงข่าวต่อสื่อ ถึงการผ่านร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่างว่าไม่มีความเห็น เพราะเหมือนมีตุ๊กตาของคนนั้นคนนี้ มีแต่ร่าง แต่ร่างรัฐธรรมนูญตัวจริงยังไม่ออกมา  อลงกต ยืนยันว่าไม่ได้มีแนวโน้มจะไม่รับทั้ง 3 ร่าง แต่การพิจารณาครั้งนี้คือขั้นรับหลักการ ถ้า สว.ไม่รับจะเกิดอะไรขึ้น สังคมจะประณามหรือไม่ เพราะพรรคการเมืองหลายพรรคตอนหาเสียงบอกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ และต้องใช้เสียง สว.สนับสนุน แต่ปัญหาเกิดขึ้นมาในเมื่อตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนว่าต้องทำประชามติ ดังนั้น กระบวนการเห็นชอบในหลักการน่าจะไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่ได้เห็นชอบในเนื้อหา เพราะยังไม่เห็นรายละเอียด และเป็น 3 ร่างที่ สสร.จะเอามาใช่หรือไม่ยังไม่รู้เลย “สรุปน่าจะรับหลักการให้แก้ไข เพื่อให้เข้าไปสู่กระบวนการในวาระ 2 และให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปได้ ส่วนร่างเป็นอย่างไร ไม่ได้อยู่ที่สาระ แต่อยู่ที่ สสร. ซึ่ง สสร.อาจจะดึง 1 ใน 3 ร่าง หรือ 2 ใน 3  ร่าง หรือจะร่างขึ้นมาใหม่ แล้วแต่ สสร. เพราะ สสร. ไม่ได้เป็นคนเสนอ 3 ร่างนี้ ผมจึงเชื่อว่าน่าจะมีร่างที่ 4 ดังนั้น ถ้าไม่รับหลักการ คนก็จะกล่าวหาว่า สว. ขวางลำอีกแล้ว” อลงกต กล่าว นอกจากนี้ อลงกต กล่าวต่อว่า เขาจะอภิปรายว่ารัฐธรรมนูญควรมีธงไปทางไหน โดยจะตั้งคำถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแก้ปัญหายาเสพติดได้หรือไม่ สามารถแก้ปัญหาคนที่เป็นหนี้เป็นสินได้หรือไม่ รัฐธรรมนูญช่วยอะไรได้บ้าง สว. มีการฮั้วรัฐธรรมนูญ แก้ปัญหาเรื่องฮั้วได้หรือไม่ เช่น มี สส. บางคนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าห้ามเล่นการเมือง แต่ก็ยังเห็นอดีต สส. บางคนเข้าไปอยู่ในกรรมาธิการ แล้วรัฐธรรมนูญดูแลอะไรบ้าง รัฐธรรมนูญทำให้คนมีความรู้สึกว่ามีหน้าที่มากขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่มีแต่คำว่าสิทธิเสรีภาพ ให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ สังคม ดีขึ้นหรือไม่ "ผมจะมองทุกมุม และจะพูดเรื่องพวกนี้มากกว่าที่จะไปบอกว่าร่าง 1 ร่าง 2 ร่าง 3 เป็นอย่างไร และจะถามว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะออกมาตอบโจทย์ เศรษฐกิจสังคม การเมืองไทย หรือไม่ ถ้าไม่ตอบโจทย์แล้วจะมีประโยชน์อะไร ดังนั้นก็จะรับหลักการไปก่อน เพราะจะเข้าไปสู่โหมดของการตั้ง สสร. เพื่อให้การเมืองเดินหน้าได้ ทั้งนี้ ผมไม่ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการจับฉลากกัน" อลงกต กล่าว นอกจากการสนับสนุน สว.ในเรื่องการรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ต้องมาจับตาดูกันด้วยว่าจะใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างไหนเป็นร่างหลัก ซึ่งต้องดูในการประชุมรัฐสภา วันที่ 14-15 ต.ค. 2568 ที่จะถึงนี้  * ข่าว * การเมือง * วุฒิสภา * ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ * พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ * อลงกต วรกี
dlvr.it
prachatai.com
สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชาบีบชนพื้นเมืองสู่กับดักหนี้ ยึดที่ดินและละเมิดสิทธิมนุษยชน
สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชาบีบชนพื้นเมืองสู่กับดักหนี้ ยึดที่ดินและละเมิดสิทธิมนุษยชน auser15 Mon, 2025-10-13 - 07:46 รายงานจาก Human Rights Watch เปิดเผยว่าสถาบันไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชาที่ได้รับเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ รวมถึง International Finance Corporation ของธนาคารโลก ได้เร่งผลักดันสินเชื่อให้ชนพื้นเมือง โดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกันและให้กู้เกินความสามารถชำระ ส่งผลให้ชาวบ้านถูกบังคับขายที่ดิน มีการฆ่าตัวตายเพราะหนี้สิน และสูญเสียการเข้าถึงสุขภาพและการศึกษา ชนพื้นเมืองในกัมพูชาเป็นเป้าหมายของสถาบันไมโครไฟแนนซ์ ดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกันและให้กู้เกินความสามารถชำระ ส่งผลให้ชาวบ้านถูกบังคับขายที่ดิน มีการฆ่าตัวตายเพราะหนี้สิน และสูญเสียการเข้าถึงสุขภาพและการศึกษา | ภาพจาก: Human Rights Watch การให้กู้แบบเอาเปรียบโดยสถาบันไมโครไฟแนนซ์ในประเทศกัมพูชากำลังผลักดันให้เกิดการยึดที่ดินและการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชุมชนชนพื้นเมือง องค์กร Human Rights Watch ระบุไว้ในรายงานที่เปิดเผยเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 ผู้สนับสนุนทางการเงินของผู้ให้กู้ชาวกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายเหล่านี้ ได้แก่ นักลงทุนเอกชน ธนาคารพัฒนาของรัฐ และ International Finance Corporation ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนเอกชนของธนาคารโลก รายงานความยาว 120 หน้า เรื่อง "กับดักหนี้: สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์แบบเอาเปรียบและการแสวงหาผลประโยชน์จากชนพื้นเมืองกัมพูชา" ("Debt Traps: Predatory Microfinance Loans and the Exploitation of Cambodia's Indigenous Peoples")  ชี้ว่าหนี้สินล้นพ้นตัวในหมู่ชุมชนชนพื้นเมืองในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาได้นำไปสู่การบังคับขายที่ดิน การฆ่าตัวตายเพราะหนี้สิน ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการสูญเสียการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและการศึกษา สถาบันไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา (MFIs) ได้ออกสินเชื่อให้กับผู้กู้ชนพื้นเมืองเป็นประจำผ่านเจ้าหน้าที่สินเชื่อและเอกสารสินเชื่อที่ใช้ภาษาเขมร ซึ่งเป็นภาษาที่ชนพื้นเมืองบางส่วนไม่เข้าใจ และเป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าความสามารถในการชำระคืนของพวกเขามาก "ผู้ให้กู้ชาวกัมพูชาได้ทำการตลาดสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ว่าเป็นเส้นทางออกจากความยากจน แต่พวกเขาได้ผลักดันให้ครอบครัวชนพื้นเมืองเข้าสู่การมีหนี้สินล้นพ้นตัว" ไบรโอนี เลา (Bryony Lau) รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียที่ Human Rights Watch กล่าว "สินเชื่อเหล่านี้ทำให้หลายคนสูญเสียที่ดิน สุขภาพ และบางครั้งก็สูญเสียชีวิต" ไมโครเครดิตได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การเข้าถึงเงินทุนแก่ผู้ยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กของพวกเขา ด้วยเงินทุนที่หากไม่มีระบบนี้แล้วจะยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มา ไมโครเครดิตรูปแบบดั้งเดิมเริ่มตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์เป็นสินเชื่อกลุ่มที่อิงบนความไว้วางใจและความรับผิดชอบร่วมกัน และไม่ต้องการหลักประกัน ในประเทศกัมพูชา เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ MFIs ที่เริ่มต้นเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ก่อตั้งโดยผู้บริจาคและองค์กรพัฒนาเอกชนได้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงสำหรับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เสียงจากผู้กู้ยืม ชาวกูย ผู้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ อายุ 62 ปี ในจังหวัดรัตนคีรี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2024 บรรยายว่าเธอถูกกดดันให้กู้เงินเพิ่ม "ฉันไม่รู้หนังสือภาษาเขมรหรือภาษาอื่นใด แม้แต่สายตาฉันก็ไม่ดี มองข้ามถนนแทบไม่เห็น ดังนั้นฉันจึงไม่เข้าใจเอกสารสินเชื่อของฉันเลย ฉันบอกพวกเขาว่าไม่อยากกู้อีกแล้ว แต่พวกเขาพูดว่า 'แล้วคุณจะเอาเงินอะไรไปใช้หนี้เดิมถ้าไม่กู้เพิ่ม?'" ชาวคาโชค ชาวไร่ในจังหวัดรัตนคีรี เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2024 บรรยายว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อขู่เธออย่างไร โดยไม่มีมูลทางกฎหมาย ว่าจะถูกดำเนินคดีอาญาเพราะไม่ชำระหนี้ "พวกเขาอ่านจดหมายให้เราฟังเพื่อกดดันให้จ่ายเงิน พวกเขาบอกว่าฉันจะต้องรับผิดทางกฎหมายถ้าไม่จ่าย... ว่าจะต้องไปศาลกับพวกเขา... ฉันไม่รู้เรื่องกฎหมาย แค่กลัวว่าจะถูกพาไปสถานีตำรวจและถูกกดดันให้จ่ายเงิน ฉันกังวลว่าอาจถูกจับเข้าคุกเพราะเรื่องนี้" ชาวจราย ผู้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ในจังหวัดรัตนคีรี บรรยายว่าคำขู่ของเจ้าหน้าที่สินเชื่อส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเขา "ผมบอกเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า 'เวลาคุณขู่และพูดกับผมแบบนั้น ผมรู้สึกอ่อนแรง ผมมีโรคหัวใจ แขนขาอ่อนเพลีย เวียนหัว และรับความเครียดไม่ไหว' เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะตอบว่า 'ถ้ามีที่ดินก็ขาย ของมีค่าอะไรก็ตามที่มีก็ขายเพื่อใช้หนี้เรา ถ้าต้องกู้จากครอบครัวหรือขายที่ดินก็ทำเพื่อที่จะได้ใช้เงินเราคืน'" ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม 2024 Human Rights Watch ได้สัมภาษณ์ชาวพื้นเมืองกว่า 50 คน ที่ได้รับผลกระทบจากหนี้สินไมโครไฟแนนซ์ล้นพ้นตัวในและใกล้เคียงจังหวัดรัตนคีรี ของกัมพูชา คำให้การของพวกเขาได้รับการยืนยันเท่าที่ทำได้จากกลุ่มภาคประชาสังคม นักข่าว ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่สินเชื่อจากสถาบันไมโครไฟแนนซ์กัมพูชาหลายแห่ง รวมทั้งเอกสารต่างๆ ได้แก่ รายงานภาคไมโครไฟแนนซ์ ข้อมูลภายในของอุตสาหกรรมไมโครไฟแนนซ์ และเอกสารสินเชื่อและรายงานเครดิตของผู้กู้ ผู้กู้ชนพื้นเมืองบอกว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อกดดันหรือบังคับพวกเขาให้กู้เงินนอกระบบหรือขายที่ดินหรือทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ ในบางกรณีโดยการมาเยี่ยมบ้านซ้ำๆ หรือขู่ว่าจะดำเนินคดีหรือให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้กู้กล่าวว่าพวกเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการชำระคืนสินเชื่อ เหตุผลของค่าธรรมเนียม หรือวิธีการคำนวณอัตราดอกเบี้ยก่อนที่จะได้รับสินเชื่อ สถาบันไมโครไฟแนนซ์ได้ยอมรับสิ่งที่เรียกว่า "โฉนดไม่เป็นทางการ" (soft titles) ซึ่งเป็นเอกสารไม่เป็นทางการแต่ใช้กันทั่วไปที่ออกโดยหน่วยงานท้องถิ่น ที่ทับซ้อนกับโฉนดที่ดินส่วนรวมของชนพื้นเมืองมาเป็นหลักประกัน แม้จะมีการคุ้มครองที่ดินดังกล่าวภายใต้กฎหมายกัมพูชาก็ตาม การใช้ที่ดินของชนพื้นเมืองเป็นหลักประกันโดยไม่ได้รับความยินยอม และไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน มีความเสี่ยงที่จะละเมิดสิทธิในที่ดินส่วนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินเชื่อมีหลักประกันเป็นที่ดินที่เป็นประเพณีหรือถือครองร่วมกัน หรืออยู่ระหว่างการจดทะเบียนเป็นเช่นนั้น การยอมรับโฉนดไม่เป็นทางการเหล่านี้เป็นหลักประกันส่งผลกระทบต่อกระบวนการขอจดทะเบียนโฉนดที่ดินส่วนรวม เนื่องจากกระบวนการนี้กำหนดให้สมาชิกชุมชนต้องรวบรวมโฉนดไม่เป็นทางการทั้งหมดและส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ซึ่งทำไม่ได้หากโฉนดเหล่านี้ถูกยึดไว้เป็นหลักประกันอยู่ ผู้กู้ชนพื้นเมืองรายงานว่าถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อให้ขายที่ดินของพวกเขา และในบางกรณีขายที่ดินบางส่วนหรือทั้งหมด เพราะกลัวการตอบโต้จากผู้ให้กู้ การให้กู้และการติดตามหนี้แบบหักโหมเหล่านี้ทำลายอัตลักษณ์ อาชีพ และการอยู่รอดของชนพื้นเมือง ขัดต่อมาตรฐานว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน โฆษณาของ Amret MFI ที่ติดบนผนังบ้านของผู้กู้ชาวตำปวน ชนพื้นเมืองของกัมพูชาในหมู่บ้านปาจอนทอม จังหวัดรัตนคีรี ประเทศกัมพูชา ระบุว่า "Amret ช่วยคุณซื้ออุปกรณ์การเกษตรโดยไม่ต้องมีเงินของตัวเอง" [ซ้าย]; "Amret พร้อมช่วยเหลือคุณและครอบครัวเสมอ" [ขวา] | ภาพจาก: Human Rights Watch Human Rights Watch พบว่ารัฐบาลกัมพูชาดูแลภาคไมโครไฟแนนซ์ไม่เข้มงวด และนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ตรวจสอบผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ซึ่งขัดต่อมาตรฐานการลงทุนของตนเองและหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) ตั้งแต่ปี 2015 International Finance Corporation ทราบแล้วว่ามีความเสี่ยงเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัวและการคุ้มครองผู้บริโภคที่อ่อนแอในภาคไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา แต่ยังคงลงทุนต่อไป ระหว่างปี 2016 ถึง 2021 ลงทุนไปกว่า 438 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 องค์กรสิทธิมนุษยชนกัมพูชายื่นคำร้องเรียนอย่างเป็นทางการจนเกิดการสอบสวน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักลงทุนระหว่างประเทศ หน่วยงานกำกับดูแลของกัมพูชา และสถาบันไมโครไฟแนนซ์เอง ควรจัดให้มีมาตรการแก้ไขที่รวมถึงการยกหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งคืนที่ดินของชนพื้นเมืองที่ถูกบังคับขาย Human Rights Watch ระบุ การแก้ไขควรครอบคลุมไปถึงนักลงทุนและผู้ถือหุ้นที่ได้กำไรจากการให้กู้แบบเกินตัว และถอนตัวออกไปโดยไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ฝ่ายเหล่านี้ควรสนับสนุนเงินทุนสำหรับกลไกการร้องทุกข์ที่เป็นอิสระตามแนวทางของหลักการสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน "ภาคไมโครไฟแนนซ์ของกัมพูชาได้รับการสนับสนุนโดย International Finance Corporation ธนาคารพัฒนาระหว่างประเทศ และนักลงทุนเอกชน ที่ไม่สนใจหลักฐานความเสียหายที่เพิ่มมากขึ้นและคำเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากกลุ่มชาวกัมพูชาและผู้กู้ที่ต้องการให้มีการแก้ไขและความช่วยเหลือ" เลากล่าว "International Finance Corporation และผู้สนับสนุนรายอื่นๆ ควรทำให้แน่ใจว่าชนพื้นเมืองจะไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไปเพื่อให้นักลงทุนได้กำไร" ที่มา: Cambodia: Microfinance Lending Harming Indigenous Groups (Human Rights Watch, 3 October 2025)   * รายงานพิเศษ * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * Human Rights Watch * กัมพูชา * ไมโครไฟแนนซ์
dlvr.it
prachatai.com
พท.พร้อมดันร่าง สสร.ทุกพรรค เสนอเพื่อไทยเป็นร่างหลัก ยึดโยง ปชช. เลี่ยงถูกร้องศาล รธน.
พท.พร้อมดันร่าง สสร.ทุกพรรค เสนอเพื่อไทยเป็นร่างหลัก ยึดโยง ปชช. เลี่ยงถูกร้องศาล รธน. ภาพปก: ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ (ที่มา: พรรคเพื่อไทย) XmasUser Mon, 2025-10-13 - 03:17 'เพื่อไทย' ยืนยันพร้อมดันร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่าด้วย สสร.ของทุกพรรค เสนอใช้ร่างของพรรคเพื่อไทย เป็นร่างหลัก เชื่อยึดโยงประชาชน เลี่ยงถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญ   13 ต.ค. 2568 ยูทูบ 'พรรคเพื่อไทย' ถ่ายทอดสดออนไลน์วานนี้ (12 ต.ค.) ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของพรรคเพื่อไทย ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15 ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 -15 ต.ค. นี้ โดยขณะนี้มีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่จะเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภาทั้งหมด 3 ร่างด้วยกัน คือร่างของพรรคเพื่อไทย ร่างของพรรคประชาชน และร่างของพรรคภูมิใจไทย  พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าพร้อมลงมติรับหลักการในวาระ 1 ทุกฉบับ เพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เดินหน้าโดยเร็วที่สุด "พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า เพื่อให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญราบรื่นมากที่สุด เรายินดีเปิดทางและรับหลักการในวาระ 1 ทุกฉบับ เพื่อเร่งรัดให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.ขึ้น เพื่อมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ชนินทร์ กล่าว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการรับหลักการทั้ง 3 ร่างจะไม่มีปัญหา แต่พรรคเพื่อไทย ยังมีข้อกังวลในร่างของพรรคภูมิใจไทยอย่างมาก เพราะที่มาของ สสร.ในร่างดังกล่าวมีจุดอ่อนเรื่องการยึดโยงถึงประชาชน เนื่องจากผู้เสนอตัวเป็น สสร.สามารถเข้าสู่การเลือกของสมาชิกรัฐสภาได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกลไกการกรั่นกรอง และไม่ต้องผ่านพี่น้องประชาชนหรือการเลือกตั้งทางตรงก่อน  ซึ่งอาจนำไปสู่ สสร.จัดตั้งโดยผ่านกระบวนการฮั้วกัน และไม่ต้องสนใจคุณสมบัติหรือความเหมาะสมในสายตาของประชาชนแต่อย่างใด ส่วนร่างของพรรคประชาชน แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนร่างให้ สสร.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพื่อให้สอดคล้องตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังมีการสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสภาฯ ตัวนี้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งโมเดลนี้พรรคเพื่อไทยกังวลว่าอาจจะมีผู้ที่หวังขัดขวางกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หยิบยกเอาเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าเป็นการเลือกตั้งทางตรงหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกเตะถ่วงทอดเวลาออกไป ชนินทร์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การประชุมพิจารณารับหลักการวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ หากสมาชิกรัฐสภาลงมติรับหลักการทั้ง 3 ร่าง พรรคเพื่อไทยจะเสนอขอให้ร่างพรรคเพื่อไทย เป็นร่างหลักในการพิจารณาต่อในชั้นกรรมาธิการ วาระที่ 2 เพื่อให้ร่างมีความยึดโยงต่อประชาชน และลดความเสี่ยงที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญตีความในอนาคตได้ กลไก สสร.ของพรรคเพื่อไทย หน้าตาเป็นอย่างไร ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับร่างของพรรคเพื่อไทยจะมีการจัดตั้ง สสร.ทั้งหมด 151 คน โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม 100 รายชื่อ และ 2. สสร.ที่รัฐสภาเป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งมาจากการเสนอชื่อขององค์กรอิสระต่างๆ 51 รายชื่อ 1. สสร. 100 คนจากการเลือกตั้งทางอ้อม สสร. 100 คนมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละจังหวัดจะมี สสร.พึงมีกี่คน จะใช้การคำนวณประชากรในแต่ละจังหวัดเป็นหลัก ยกตัวอย่าง กทม. มีจำนวนประชากรเยอะ อาจจะมี สสร.พึงมี จำนวน 8 คน ขณะเดียวกัน จังหวัดขนาดเล็กที่ประชากรน้อย อาจจะมี สสร.จำนวน 1 คน เป็นต้น สำหรับกระบวนการเลือกตั้ง สสร.ในแต่ละจังหวัด จะเริ่มจากผู้ที่ต้องการเสนอตัวเป็น สสร.จะต้องไปสมัครกับ กกต. หลังจากนั้นจะให้แต่ละจังหวัดเลือกตั้งภายในจังหวัด ให้ได้รายชื่อแคนดิเดต สสร.จำนวน 3 เท่าของ สสร.พึงมีของจังหวัดนั้น เพื่อที่จะส่งให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้รับรองในขั้นต่อไป สมมติ กทม. มี สสร.พึงมีทั้งหมด 8 คน ภายในจังหวัดจะต้องเลือกตั้งคนที่จะมาเป็น สสร. โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 24 คน (หรือจำนวน 3 เท่าของ 8 คน) จะได้เป็นแคนดิเดต สสร. ส่งให้รัฐสภาคัดเลือกต่อไป ดังนั้น เมื่อการเลือกตั้งแต่ละจังหวัดเสร็จสิ้น กกต.จะต้องรับรองรายชื่อแคนดิเดต สสร.จำนวน 300 คน เพื่อส่งให้สมาชิกรัฐสภาจำนวน 700 คนคัดเลือกจนเหลือเพียง 100 คน สมมติ กทม.มี สสร.พึงมี 8 รายชื่อ รัฐสภาจะต้องมาเลือกรายชื่อจากทั้งหมด 24 คนของ กทม.ให้เหลือแค่ 8 คนที่จะได้เป็นสมาชิก สสร. 2. สสร. 51 คนจากองค์กรต่างๆ ชนินทร์ กล่าวว่า กลไกที่ 2 คือการแต่งตั้งของรัฐสภาจากการเสนอชื่อขององค์กรต่างๆ จำนวน 51 รายชื่อ โดยแบ่งตามสัดส่วนหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ดังนี้ * วุฒิสภาคนนอก 5 คน * ตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 1 คน * ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด 1 คน * สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบ 3 คน * ที่ประชุมอธิบการบดี สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เลือกตัวแทน 2 คน * ที่ประชุมคณบดี คณะนิติศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ เลือกตัวแทน 2 คน * สมาคมวิชาชีพด้านกฎหมาย ด้านรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ เลือกตัวแทน 3 คน * สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เลือกตัวแทน 2 คน * กลุ่มองค์กรทางภาคธุรกิจ เลือกตัวแทน 8 คน * สภาและสมาคมสื่อมวลชนทุกแห่ง เลือกตัวแทน 1 คน * องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย 1 คน 2 กลไกนี้รวมกัน 151 คน จากการแต่งตั้งรัฐสภา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หวังว่าจะได้รับการรับหลักการทั้งสมาชิก สส. และ สว. เพื่อให้แปรญัตติต่อในชั้นกรรมาธิการ และก็คาดหวังว่าร่างนี้จะสามารถเป็นร่างหลัก เป็นร่างตรงกลาง ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และนำมาสู่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างเป็นธรรม "ภายใต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางของพรรคเพื่อไทยเป็นแนวทางที่เป็นจริง และได้ สสร.ที่ยึดโยงกับประชาชน สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายในทางการเมือง การฮั้วกันทำได้ยาก และไม่มีฝ่ายใดผูกขาดความเป็นเสียงข้างมากได้" ชนินทร์ กล่าว  * ข่าว * การเมือง * สภาร่างรัฐธรรมนูญ * สสร. * พรรคเพื่อไทย * ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ * พรรคภูมิใจไทย * พรรคประชาชน * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
dlvr.it
prachatai.com
อย่ามองข้าม! กลไกสำคัญ 'กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ' ร่าง 3 พรรคกำหนดให้มาจากไหนบ้าง?
อย่ามองข้าม! กลไกสำคัญ 'กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ' ร่าง 3 พรรคกำหนดให้มาจากไหนบ้าง? ภาพปก: อภินพ อติพิบูลย์สิน  XmasUser Sun, 2025-10-12 - 20:23 'อภินพ' นักวิชาการนิติศาสตร์ และรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบจาก มธ. มองรัฐสภาควรให้ความสำคัญกับการพูดถึง กมธ.ยกร่าง รธน. เพราะจะเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญตัวจริง ส่วน สสร.จะเป็นคนให้คำแนะนำเป็นหลัก แนะเขียนบทบัญญัติการร่าง รธน.ใหม่ให้ละเอียด หากมีข้อพิพาท จะหาทางลงอย่างไรไม่ให้เกิดทางตัน หวั่นหากไม่คิดเอาไว้ อาจเปิดช่องให้ศาล รธน. หรือองค์กรอิสระ เข้าแทรกแซง   เนื่องด้วยวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ รัฐสภามีนัดประชุมสำคัญ พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 3 พรรคหลัก คือ ภูมิใจไทย-ประชาชน-เพื่อไทย นับเป็นการนับหนึ่งของพันธสัญญารัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ผ่านมาเราเน้นย้ำเรื่อง สสร. หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และอยากให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เพราะคิดว่า สสร.เป็นผู้กำหนดหน้าตาของรัฐธรรมนูญ (ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งวินิจฉัยแล้วว่าเลือกตั้งตรงไม่ได้) อย่างไรก็ตาม อภินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนและรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ ให้ความเห็นว่า อีกกลไกหนึ่งที่สำคัญมากแต่คนมองข้ามและไม่ค่อยพูดถึงคือ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะพวกเขาจะเป็น 'ผู้เขียนรัฐธรรมนูญที่แท้จริง' ส่วน สสร.นั้นเป็นเพียงผู้กำหนดกรอบเนื้อหา ทั้งยังเห็นด้วยว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะพิจารณากันในรัฐสภาเร็วๆ นี้นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด "ขั้นตอนตอนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะมันเป็นการตัดสินเรื่องการตัดสินใจทั้งหมด อะไรรับได้ อะไรรับไม่ได้ ขั้นตอนการพิจารณาจะเป็นอย่างไร เช่น กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะทำงานยังไง ร่างต่างๆ ไม่บอกรายละเอียด บอกให้อิงกับข้อบังคับการประชุมสภา เหมือนกรรมาธิการพิจารณากฎหมายทั่วไป การยกร่างรัฐธรรมนูญจะทะเลาะกันยิ่งกว่าการร่างกฎหมายทั่วไป ถ้าไม่เขียนละเอียดมันอาจจะมีอุบัติเหตุได้ เดี๋ยวไปถามศาลรัฐธรรมนูญอีก "รัฐธรรมนูญจะมีหน้าตาอย่างไรขึ้นกับกรรมาธิการชุดนี้จะคุยกันอย่างไร ตัว สสร.ให้มีหน้าที่อะไรบ้างก็เรื่องใหญ่ที่คนมองข้าม จะให้เขาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ด้วยหรือเปล่า หลายเรื่องทะเลาะกันเยอะก็มักเอาไว้ร่างใน พ.ร.ป. แล้วใครร่าง อาจต้องล็อกตั้งแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนร่าง บางประเทศจะบอกไว้เลยว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญโดยตรงให้ สสร.ดึงอำนาจการร่างไปจากสภาด้วย" อาจารย์จาก มธ. กล่าว   อภินพ ระบุถึงความต่างในแนวคิดของแต่ละพรรค บางพรรคกำหนดให้ สสร.กับ กมธ.แทบจะไม่เกี่ยวกันเลย กมธ.เป็นคนร่างก็ร่างไป สสร.เป็นคนให้ความเห็น มีการประชุมร่วมกัน แต่ไม่ได้มีส่วนในการยุ่งกับร่างเลย แค่แสดงความเห็นไม่ได้ลงมติด้วยซ้ำ "สสร.ตอนนี้ อย่างน้อยในร่างของพรรคประชาชนที่ละเอียดที่สุด แนวโน้มเป็นไปในทางเป็นองค์กรรับฟังความเห็นจากประชาชน กลั่นกรองแล้วมาบอกกับกรรมาธิการยกร่างอีกที ขณะที่ตอนทำรัฐธรรมนูญ 2540 ให้บทบาท สสร.เยอะที่สุดแล้ว เพราะให้มาแปรญัตติรายมาตราได้เลย" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ระบุ  อภินพ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้เหมือนร่างพรรคการเมืองทั้งหลายไม่ได้คิดกันว่า ถ้ามีปัญหาข้อโต้แย้งในขั้นตอนแต่ละขั้นตอนสุดท้ายจะจบที่ไหน ถ้าไม่เขียนไว้ศาลรัฐธรรมนูญก็จะมาหาท่านเองเพราะจะมีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญเอง อาจจะเป็นการใช้ มาตรา 49 ล้มล้างการปกครองฯ ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง หรือมาตรา 210(2), 213, 256(9) เป็นต้น  "การป้องกันเดธล็อก ถ้าเกิดกระบวนการร่างมันไปต่อไม่ได้ เพราะเห็นไม่ตรงกันในเรื่องร้ายแรงมากๆ เช่น แก้หมวด 1 หมวด 2 ได้ไหม จะทำอย่างไร มันมีตั้งแต่มาตรการอย่างให้พักการประชุม ให้เปลี่ยนสถานที่การประชุม หรือกระทั่งที่เด็ดขาดคือเอาไปลงประชามติกันอีกทีหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คิดเผื่อไหม ถ้าไม่คิดเผื่ออาจจะถึงทางตันค่อนข้างง่าย เวลาที่ถึงทางตัน มันรวมถึงทางตันทางการเมืองด้วย หรือกรณีที่ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าเสียงเท่ากันจะทำยังไง หรือกรณีวอล์กเอาต์ระหว่างร่างรัฐธรรมนูญ หรือสภาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญลาออกครึ่งหนึ่งจะทำยังไง ถ้าไม่เขียนไว้เผื่อหลายชั้น ทางตันเกิดขึ้นได้ในหลายรอบ ตั้งแต่รอบ สสร. รอบกรรมาธิการยกร่าง รอบที่ร่างกลับมารัฐสภาอีกทีหนึ่งซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบของ สว.ด้วย ทางตันอาจนำไปสู่การให้ศาลช่วยตัดสินใจ "เมื่อพูดถึงอำนาจตุลาการ จริงๆ เราสามารออกแบบได้หลากหลายว่าให้ศาลเข้ามาดูได้แค่ไหน ทางเลือกอาจเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือรัฐสภากุมอำนาจไว้ทั้งหมด กำหนดเลยว่าถ้ามีปัญหาในทางปฏิบัติให้โหวตกันหรือตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาข้อพิพาท หรือจะใช้ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ หรือจะใช้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็อาจได้รับความน่าเชื่อถือ" อภินพ กล่าว  อตินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์นิติศาสตร์​ มธ. กล่าวแสดงความเป็นห่วงเส้นทางการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในครั้งนี้ว่า ทางหนึ่งเราต้องการให้มีส่วนร่วมเยอะๆ นั้นเป็นเรื่องดี แต่สุดท้ายแล้วดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาแทบไม่มีผลในทางเนื้อหา มีส่วนร่วมเยอะบางทีความขัดแย้งเยอะ มีส่วนร่วมเยอะมีความชอบธรรม แต่มันไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ดี ร่างรัฐธรรมนูญที่ดีคือร่างที่มาจากปัญหาของภาคการเมืองที่ทุกคนรู้ปัญหาว่าการเมืองเรามีปัญหาอะไร นักการเมืองก็ตกลงกันยอมให้กัน ซึ่งจะยอมกันได้ก็เมื่อเกิดวิกฤต ไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ของไทยยังไม่วิกฤต "ผมเป็นห่วงว่าการร่างรัฐธรรมนูญมันยาก เพราะประสบการณ์ทั่วโลก ส่วนใหญ่จะสำเร็จต้องมีวิกฤต วิกฤตของเราคืออะไร เราเห็นปัญหาต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ แต่มันเกิดวิกฤตศรัทธาถึงระดับพอหรือยัง หรือมันแก้กดไว้อยู่ ยังไม่ออกมา" อภินพ กล่าว  เขาตั้งคำถามด้วยว่า ประวัติศาสตร์การแก้รัฐธรรมนูญของไทย นับตั้งแต่ 2475 มา เราเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญกันจริงจังตอนไหนบ้างสำหรับรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับที่เคยมีมา คำตอบคือ รัฐธรรมนูญ 2475 เป็นหนึ่งในไม่กี่ฉบับที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ในทางเนื้อหา นอกจากนั้นมีน้อยมาก เช่น รัฐธรรมนูญ 2489 ที่กำหนดให้มี 2 สภา (สภาผู้แทนราษฎร-วุฒิสภา) รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เกิดองค์กรอิสระและเกิดแนวคิดการตรวจสอบด้วยอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจทางการเมือง หากเราจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ก็ต้องฉีกไปแบบนั้น ที่ผ่านมาเราไม่ศรัทธาในรัฐธรรมนูญ เพราะมันไม่ได้แตกต่างกันมากในสาระสำคัญ แตกต่างกันเพียงรายละเอียด แต่การที่จะร่างใหม่ให้เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหรือหลักการอย่างมากก็อาจจะไม่สามารถผ่านได้เช่นกัน  "ผมคิดมาตั้งแต่ปีก่อนแล้วว่าสถานการณ์ของเราไม่มีทางออกที่ดีเท่าไร ถ้าแก้ช่วงหลังปี 2560 จะดีกว่ามาก แต่ตอนนี้ล่วงเลยมาแล้วและทุกส่วนรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2560 ยังไง เลยคิดว่าเน้นแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องๆ ไป เรื่อง สว. เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ แก้เลยแม้ต้องไปประชามติอยู่ดี ผมว่าอย่างน้อยควรทำควบคู่ไปด้วยกับการแก้ทั้งฉบับ จะได้ไม่ล้มเหลว เราสามารถแก้บางประเด็นไปพร้อมกันได้ แก้บางจุดไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ทำกันใหม่ได้เรื่อยๆ" อภินพ กล่าว  อภินพ ยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญอินโดนีเซียที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็เป็นรัฐธรรมนูญของเผด็จการ แต่แก้เนื้อหาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งนี้ เขาเห็นว่าหากร่างใหม่ทั้งฉบับแล้วไม่ประสบความสำเร็จหรือแก้ประชามติ จะส่งผลให้ติดกับร่างเดิมไปอีกนาน กลายเป็นความเห็นของประชาชนไปรับรองว่าต้องการรัฐธรรมนูญ 2560 เปิด 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 'กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ' มาจากไหน? พรรคภูมิใจไทย :  ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งกรรมาธิการขึ้นคณะหนึ่งทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาเพื่อเสนอต่อสภาร่างฯ ประกอบด้วย กรรมาธิการอย่างน้อย 45 คน แต่งตั้งจาก สสร.2 ใน 3 ที่เหลือแต่งตั้งจากบุคคลที่ไม่ได้เป็น สสร.โดยพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ในการทำหน้าที่ พรรคเพื่อไทย : ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางที่สภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนด เพื่อเสนอต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 27 คน แต่งตั้งจาก สสร.14 คน จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน 5 คน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ 5 คน ผู้มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินและการร่างรัฐธรรมนูญ 3 คน   พรรคประชาชน :  คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามคำแนะนำของสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งไปรับฟังความเห็นประชาชนมา กรรมาธิการมีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นรัฐสภาคัดเลือก 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เท่ากับว่าหากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิรวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อ กมธ. ยกร่าง 1 คน * สัมภาษณ์ * การเมือง * ่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * อภินพ อติพิบูลย์สิน * กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ * สภายกร่างรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
prachatai.com
กองทัพพม่าเปิดยุทธการรุกกลับหลายแนวรบ แต่คืบหน้าจำกัดเพราะขาดศักยภาพ
กองทัพพม่าเปิดยุทธการรุกกลับหลายแนวรบ แต่คืบหน้าจำกัดเพราะขาดศักยภาพ auser15 Sun, 2025-10-12 - 18:59 ในบทวิเคราะห์ของอิรวดี ชี้ว่าการรุกกลับครั้งใหม่ของกองทัพพม่าได้นำไปสู่การยึดคืนพื้นที่บางส่วนที่เคยสูญเสียให้กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แม้ไม่ควรมองข้ามศักยภาพของกองทัพพม่า และตามที่กองทัพพม่าอ้างว่าชนะท่วมท้น ทหารฝ่ายต่อต้านล่าถอย แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ของการรุกกลับยังคงเป็นไปอย่างจำกัด โดยขณะนี้กองทัพพม่ายึดคืนมาได้ 7 เมือง ส่วนฝ่ายต่อต้านยึดเพิ่มได้ 3 เมือง เช่น อำเภอฟะลัม ในจังหวัดฟะลัม รัฐชิน อำเภออินด่อ และอำเภอบันเมาก์ จังหวัดกาดส่า ภาคสะกาย ส่วนกองทัพพม่าแม้จะเร่งเกณฑ์ทหารใหม่ แต่ยังขาดศักยภาพที่จะเปิดแนวรบทั่วประเทศ ปัจจุบันยังเน้นพื้นที่ย่อมๆ เช่น บ้านเลเกก่อ ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก หรือตัวจังหวัดผาปูน ในพื้นที่กองพล 5 KNU รัฐกะเหรี่ยง หรือแนวรุกในรัฐฉานเหนือ ส่วนในภาคมัณฑะเลย์ เน้นการเสริมกำลังป้องกันเมืองมากกว่าทุ่มกำลังยึดเมืองที่เสียไปแล้ว กองกำลังทหาร PDF เข้าควบคุมตัวอำเภอบันเมาก์ หรือม่านหมอก จังหวัดกาดส่า ภาคสะกาย ได้ตั้งแต่ 20 ก.ย. 2568 (ที่มา: The Irrawaddy) ในบทวิเคราะห์ของอิรวดี เอจานซู นักวิเคราะห์ด้านการเมืองและการทหารซึ่งใช้ฐานข้อมูลจากสำนักข่าว Burma News International, Myanmar Peace Monitor และสำนักข่าว People’s Spring เพื่อประเมินภาพรวมของสงครามกลางเมืองในพม่า ที่กองทัพพม่าเปิดยุทธการรุกกลับในหลายภาคและหลายรัฐ โดยผู้เขียนชี้ว่าการโจมตีครั้งใหม่ของกองทัพพม่าได้นำไปสู่การยึดคืนพื้นที่บางส่วนที่เคยสูญเสียให้กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แม้ไม่ควรมองข้ามศักยภาพของกองทัพพม่า แต่ในขณะที่เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายทหารอ้างถึง “ชัยชนะอย่างท่วมท้น” ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แผนที่จากพื้นที่สงครามกลับสะท้อนสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ของการรบยังคงจำกัดอยู่ และข้อมูลรายภูมิภาค และรายรัฐต่อไปนี้จะช่วยให้ผู้สังเกตการณ์เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ รัฐกะฉิ่น ในรัฐกะฉิ่น กองทัพแห่งอิสรภาพกะฉิ่น (KIA) สามารถยึดเมืองศูนย์กลางของจังหวัดได้ 1 แห่งคือชีบเว 5 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ และเมืองระดับตำบลอีก 5 แห่ง นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2023 เป็นต้นมา การสู้รบยังคงรุนแรงในพื้นที่อำเภอบะมอ (Bhamo) หรือม่านหม้อ (บ้านหม้อ) และ อำเภอผาก้าน (Hpakant) แต่พื้นที่ทั้งสองแห่งนี้ ไม่ใช่พื้นที่ๆ ฝ่ายต่อต้านยึดครองมาได้แต่แรก ที่สำคัญคือจนถึงขณะนี้ กองทัพพม่ายังไม่สามารถยึดศูนย์กลางการปกครองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ กองทัพกะฉิ่น KIA กลับคืนมาได้เลย รัฐชิน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2564 ฝ่ายต่อต้านในรัฐชินสามารถยึดเมืองศูนย์กลางของจังหวัดได้ 3 จังหวัด 2 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ และเมืองระดับตำบล 8 แห่ง การโต้กลับของกองทัพพม่าในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐชินเมื่อต้นปีนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และจนถึงปัจจุบัน ศูนย์กลางการปกครองที่ฝ่ายต่อต้านควบคุมอยู่ ยังไม่มีพื้นที่ใดที่กองทัพพม่ายึดคืนได้ รัฐยะไข่ หรือรัฐอาระกัน กองทัพอาระกัน (AA) เป็นฝ่ายที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด โดยสามารถยึดเมืองศูนย์กลางของจังหวัดได้ 6 จังหวัด เมืองระดับอำเภอ 10 แห่ง กิ่งอำเภอ 2 แห่ง และเมืองระดับตำบลอีก 8 แห่งทั่วทั้งรัฐยะไข่ รวมถึงยึดอำเภอปะเลตวะ (Paletwa) ในพื้นที่รัฐชินที่อยู่ข้างเคียงกัน ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2567 เป็นต้นมา แม้กองทัพพม่าจะเปิดฉากโจมตีหนักตามเส้นทางภูเขาผ่านเทือกเขาอาระกันโยมะ ซึ่งเชื่อมระหว่างรัฐอาระกันกับภูมิภาคมะกวยและอิรวดี แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถยึดคืนเมืองใดได้เลย รัฐกะเหรี่ยง ในรัฐกะเหรี่ยง กองกำลังฝ่ายต่อต้านสามารถยึดศูนย์กลางจังหวัดได้ 1 แห่ง คือ จังหวัดผาปูน และเมืองขนาดเล็กอย่าง ไจ้ด่ง (ขึ้นกับอำเภอจาอินเซกจี) ตำบลซูกาลี (ขึ้นกับอำเภอเมียวดี) และบ้านเลเก่ก่อ (ขึ้นกับอำเภอเมียวดี) ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2024 แม้กองทัพพม่าจะเปิดปฏิบัติการโต้กลับหลายครั้งในปีนี้ แต่ยังไม่สามารถยึดคืนพื้นที่เหล่านั้นได้ รัฐกะเรนนี ในรัฐกะเรนนี มี 6 ตำบลที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังฝ่ายต่อต้านตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2566 แต่ภายในกลางปี 2568 กองทัพพม่าได้ยึดคืนเมืองปาย (Mobye) ในอำเภอผายขุ่น รัฐฉาน และบ้านนันแมข่ง อำเภอดีมอโซ ในรัฐกะเรนนี ได้ เหลือเพียง 4 ตำบลที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังกะเรนนี เมืองปาย ตั้งอยู่บริเวณชายแดนด้านใต้ของรัฐฉาน ถือเป็นประตูยุทธศาสตร์สำคัญเชื่อมสู่รัฐกะเรนนี โดยมีถนนที่ตรงไปยังเมืองลอยก่อ เมืองหลวงของรัฐกะเรนนี. รัฐฉานเหนือ กองกำลังโกก้าง MNDAA ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก หน้าค่ายทหารพม่า ที่เมืองกุนโหลง ภาพเผยแพร่เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2566 (ที่มา: Facebook/The Kokang) ทหารพม่าเคลื่อนกำลังมาถึงตัวอำเภอจ็อกแม โดยยึดคืนมาจากทหารตะอาง TNLA ภาพเผยแพร่ในเทเลแกรม Visit Kyaukme เมื่อ 1 ต.ค. 2568 สถานการณ์ที่ซับซ้อนที่สุดเกิดขึ้นในรัฐฉานตอนเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ พันธมิตรสามภราดรภาพ (Brotherhood Alliance) และ กองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่ภายใต้ปฏิบัติการ 1027 ช่วงปลายปี 2023 ทั้งสองฝ่ายร่วมกันสามารถยึดเมืองได้รวม 25 เมือง โดย กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (MNDAA หรือกองกำลังโกก้าง) ยึดได้ 12 เมือง แต่ในเวลาต่อมาได้ส่งมอบสองเมือง ได้แก่ โหป่าง (Hopang) และปานลน (Pan Lon) ให้กับ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) ยึดได้ 12 เมือง โดย 11 เมืองอยู่ในรัฐฉาน และอีก 1 เมืองอยู่ในภาคมัณฑะเลย์ ส่วน KIA ยึดได้ 1 เมืองคือ อำเภอม่านเบง (Mabein) จังหวัดจ็อกแม ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ขณะที่เมืองก๊ดขาย จังหวัดก๊ดขาย รัฐฉาน ถูกแบ่งเขตควบคุมระหว่าง ทหารโกก้าง MNDAA และทหารตะอาง TNLA อย่างไรก็ตาม ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลจีน ทหารโกก้าง MNDAA ได้ส่งมอบเมืองศูนย์กลางรัฐฉานเหนือคือล่าเสี้ยว คืนให้กับกองทัพพม่าในเดือนเมษายน 2568 และตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา รัฐบาลทหารพม่ารุกคืนพื้นที่ของทหารตะอาง TNLA ยึดคืนอำเภอหนองเขียว และอำเภอจ็อกแม จังหวัดจ็อกแม คืนจาก TNLA และมุ่งหน้าอำเภอสี่ป้อ จังหวัดจ็อกแมเป็นเป้าหมายถัดไป แต่ถึงกระนั้น พื้นที่ที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้านยังคงมีเมืองศูนย์กลางระดับจังหวัดถึง 5 แห่ง และเมืองศูนย์กลางของอำเภอ 12 แห่ง ภาคสะกาย และภาคมัณฑะเลย์ ในภูมิภาคสะกายและมัณฑะเลย์ กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defense Forces – PDF) สามารถยึดเมืองศูนย์กลางระดับจังหวัดได้ 2 แห่ง 4 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ และ 3 ตำบล แม้กองทัพพม่จะเปิดปฏิบัติการยึดคืนบางส่วนสำเร็จ ได้แก่ อำเภอกอลิน ศูนย์กลางของจังหวัดกอลิน ในภาคสะกาย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และ อำเภอตะแบกจิน ศูนย์กลางของจังหวัดตะแบกจิน ภาคมัณฑะเลย์ กลับมาอยู่ในมือกองทัพในเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพรวมสถานการณ์ทั่วประเทศ แผนที่แสดงสถานการณ์สงครามกลางเมืองพม่า จนถึงตุลาคม 2568 โดยพื้นที่สีเขียว เป็นพื้นที่ๆ กองทัพพม่าสามารถยึดคืนมาได้จากกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ที่มา: The Irrawaddy ทั่วประเทศ กองกำลังฝ่ายต่อต้านสามารถยึดเมืองศูนย์กลางระดับจังหวัดได้ 19 จังหวัด, เมืองหลักระดับอำเภอ 34 อำเภอ, กิ่งอำเภอ 15 แห่ง และเมืองระดับตำบล 31 ตำบล ในจำนวนนี้ มีเพียงสามเมืองในรัฐชินเท่านั้นที่ฝ่ายต่อต้านสามารถยึดได้โดยง่าย เนื่องจากกองทัพพม่าถอนกำลังออกไปเอง ส่วนที่เหลือทั้งหมดยึดมาได้จากการสู้รบอย่างหนัก หลังจากนั้น กองทัพพม่าได้ยึดคืนเมืองศูนย์กลางระดับจังหวัดได้ 4 แห่ง และเมืองระดับอำเภออีก 3 แห่ง ฝ่ายต่อต้านได้ถอนกำลังออกจากบางพื้นที่ในรัฐฉานเหนือ ภาคมัณฑะเลย์ ภาคสะกาย และรัฐกะเรนนี แต่ในรัฐกะฉิ่น รัฐชิน รัฐกะเหรี่ยง และรัฐยะไข่ ยังไม่มีเมืองใดที่กลับไปอยู่ในมือของรัฐบาลทหาร นอกจากนี้ ยังมี 4 เมืองที่กองกำลังต่อต้านสามารถยึดได้ชั่วคราวในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงปี 2567 ก่อนจะถอนกำลังออกภายในไม่กี่วัน เช่น ความพยายามในการยึดลอยก่อ เมืองหลวงของรัฐกะเรนนีอย่าง ที่ยังล้มเหลว ขณะที่ฝ่ายต่อต้านยังคงเปิดฉากโจมตีต่อเนื่องในอำเภอบะมอ หรือบ้านหม้อในรัฐคะฉิ่น, อำเภอผาซอง ในรัฐกะเรนนี, และตำบลวาเลย์เมียง ในรัฐกะเหรี่ยง ขณะที่ฝ่ายทหารพม่าเปิดการรุกที่บ้านเลเก่กอ ทางใต้ของเมียวดี และเตรียมปฏิบัติการรุกเพิ่มเติมในรัฐฉานเหนือ ข้อจำกัดของฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า เดินทางไปเยือนบริษัท Zhongyue Aviation UAV Firefighting-Drone Co Ltd ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ภาพเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2567 ที่มา: ภาพเผยแพร่ของสื่อรัฐบาลทหารพม่า แม้การสนับสนุนจากจีนจะช่วยให้กองทัพพม่ามี “เวลาหายใจ” อยู่บ้าง แต่จนถึงขณะนี้สามารถยึดคืนเมืองได้เพียง 7 อำเภอเท่านั้น ในขณะที่กองกำลังต่อต้านกลับสามารถยึดเพิ่มได้อีก 3 เมืองในปี 2025 ได้แก่ อำเภอฟะลัม (Falam) จังหวัดฟะลัม รัฐชิน อำเภออินต่อ จังหวัดกาดส่า และอำเภอบันเมาก์ (ม่านหมอก) จังหวัดกาดส่า ภาคสะกาย พร้อมกับยังคงสู้รบเพื่อยึดพื้นที่ในบะมอ รัฐกะฉิ่น, ผาซอง รัฐกะเรนนี และวาเลย์เมียง รัฐกะเหรี่ยง กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ แม้กองทัพพม่าจะเร่งการเกณฑ์ทหารอย่างหนัก แต่ก็ยังขาดศักยภาพเพียงพอที่จะเปิดการรบในวงกว้างทั่วประเทศ ปัจจุบันเป้าหมายหลักอยู่ที่ บ้านเลเกก่อ และจังหวัดผาปูน ในรัฐกะเหรี่ยง รวมถึงการโจมตีรอบใหม่ในรัฐฉานเหนือ ส่วนในภาคมัณฑะเลย์ กองทัพเน้นเสริมกำลังป้องกันรอบนอกตัวเมืองมากกว่าการพยายามยึดคืนเมืองที่สูญเสียไปแล้ว โอกาสที่รัฐบาลทหารจะสามารถยึดคืนเมืองส่วนใหญ่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้จึงถือว่ามีโอกาสน้อยมาก แรงขับเคลื่อนของฝ่ายต่อต้าน ในทางกลับกัน กองกำลังต่อต้านไม่เพียงแต่สามารถรักษาพื้นที่เดิมไว้ได้ แต่ยังขยายอิทธิพลออกไปเพิ่มอีก โดยในปี 2568 พวกเขายึดเมืองฟะลัม รัฐชิน, อินต่อ ภาคสะกาย, และบันเมาก์ (ม่านหมอก) ภาคสะกาย ได้สำเร็จ ผลลัพธ์นี้หักล้างการกล่าวอ้างของกองทัพที่ว่า “กำลังยึดคืนเมืองต่อเมือง” หรือว่ากลุ่มตะอาง TNLA “พ่ายแพ้” เพียงเพราะสูญเสียสองเมือง เพราะในความเป็นจริงแล้ว คำกล่าวเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ โฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายทหาร ไม่ใช่ภาพสะท้อนของสถานการณ์ในสนามรบจริง ในบทวิเคราะห์ของเอจานซู ชี้ว่าอย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่ากองกำลังฝ่ายต่อต้านยังต้องพัฒนายุทธวิธีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเลือกภูมิประเทศให้เหมาะสม การผสมผสานกลยุทธ์เชิงรับกับเชิงรุก และการเสริมสร้างโครงสร้างการบังคับบัญชาให้แข็งแกร่ง ภาพรวมทั่วประเทศ กองทัพพม่ายังคงมีจุดอ่อนในหลายพื้นที่ และการประเมินสถานการณ์ทางทหารควรสะท้อนข้อเท็จจริงนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ควรถูกประเมินต่ำหรือตีคุณค่าสูงเกินไป เมืองบางแห่งอาจสูญเสียไป หรือบางพื้นที่อาจกลายเป็นสมรภูมิแย่งชิง แต่ในบางแห่ง กองกำลังต่อต้านจะยังคงสามารถป้องกันพื้นที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเปิดการโจมตีรอบใหม่ได้อีกด้วย   แปลและเรียบเรียงจาก Let’s Not Overestimate the Junta’s Comeback on the Battlefield, Aye Chan Hsu, The Irrawaddy 10 October 2025  * ข่าว * ต่างประเทศ * พม่า * สงครามกลางเมืองพม่า * รัฐบาลทหารพม่า * กองทัพพม่า * รัฐกะฉิ่น * ภาคสะกาย * รัฐกะเหรี่ยง * ปฏิบัติการ 1027
dlvr.it
prachatai.com
ซ้ายคนเดือนตุลาเทิร์นอนุรักษนิยม | หมายเหตุประเพทไทย EP.596
ซ้ายคนเดือนตุลาเทิร์นอนุรักษนิยม | หมายเหตุประเพทไทย EP.596 user8 Sun, 2025-10-12 - 18:50 หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี พูดถึงปัจจัยและบริบทที่ทำให้คนเดือนตุลาจำนวนหนึ่ง ที่เคยเคลื่อนไหวในประเด็นก้าวหน้าในช่วงทศวรรษ 2510-2520 คลี่คลายกลายมาเป็นกลุ่มที่มีความอนุรักษนิยม หรือมีอุดมการณ์ฝ่ายขวาในเวลาต่อมา โดยแนะนำบทที่  4 ของหนังสือ "พลวัตทางอุดมการณ์ของชนชั้นกลางไทยในคืนวันที่ผันแปร: บทสังเคราะห์โครงการวิจัย ความเปลี่ยนแปลงทางความคิด ระบบคุณค่า และระบอบอารมณ์ความรู้สึกของชนชั้นกลางไทย พ.ศ. 2500-2560" (2567) ของสายชล สัตยานุรักษ์ (อ่านหนังสือคลิกที่นี่) โดยตอนหนึ่งอธิบายปัจจัยการหวนกลับไปสู่อุดมการณ์อนุรักษนิยมของฝ่ายซ้ายจำนวนหนึ่ง นอกจากการผิดหวังต่อแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อีกประการหนึ่งในช่วงทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา รัฐไทยยังส่งเสริมผลิตซ้ำความเป็นไทยอย่างเข้มข้น ทั้งการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี การเชิดชูศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ และกระแสพระสงฆ์ปัญญาชนเช่น พุทธทาส และปัญญานันทภิกขุ ทำให้อดีตฝ่ายซ้ายจำนวนหนึ่งหันมาสนใจแนวทางพุทธศาสนาและความเป็นไทย ในแง่เศรษฐกิจทศวรรษนี้ยังเป็นโอกาสใหม่ของชนชั้นกลาง เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโต เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า เกิดอาชีพที่มั่นคง/ทรงสถานะ เช่น สื่อมวลชน เอ็นจีโอ นักวิชาการ นักการเมือง คนเดือนตุลาหลายคน “สำเร็จในระบบ” จึงเห็นคุณค่าความมั่นคง/ความดีเชิงศีลธรรมมากกว่าการปะทะเชิงโครงสร้าง ยังไม่รวมการแตกสาขาความคิดของอดีตฝ่ายซ้าย ทั้งแนวทางชุมชนนิยม แนวคิดพึ่งตนเอง  พุทธศาสนาเพื่อสังคม ไปจนถึงการปรับนิยามประชาธิปไตยแบบไทย ซึ่งแนวคิดนี้ก่อตัวมาตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ว่าประชาธิปไตยไทยต้องพึ่ง "พระบารมี" เพื่อป้องกันเผด็จการและคลี่คลายวิกฤต และจะปรากฏชัดในช่วงหลัง 2540 เช่น พระราชอำนาจ มาตรา 7 ราชประชาสมาสัย ฯลฯ * ข่าว * สังคม * วัฒนธรรม * การศึกษา * หมายเหตุประเพทไทย * มัลติมีเดีย * สายชล สัตยานุรักษ์ * หนังสือ * ประวัติศาสตร์ * คนเดือนตุลา * สงครามเย็น * การพัฒนา * ชนชั้นกลาง * พลวัตทางอุดมการณ์ของชนชั้นกลางไทยในคืนวันที่ผันแปร
dlvr.it
prachatai.com
'อนุทิน' เผยจะปรับรูปแบบขอคืนพื้นที่บ้านหนองจานให้เป็นสากล
'อนุทิน' เผยจะปรับรูปแบบขอคืนพื้นที่บ้านหนองจานให้เป็นสากล auser15 Sun, 2025-10-12 - 17:54 'อนุทิน' เผยจะปรับรูปแบบขอคืนพื้นที่บ้านหนองจานให้เป็นสากล ชี้ 'กัน จอมพลัง' เปิดซาวด์หลอนไล่ เหตุไม่มีใครชอบให้คนรุกรานอธิปไตย ย้ำลงพื้นที่บ้านหนองจานแน่ 12 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ "กัน จอมพลัง" นำเครื่องเสียงไปเปิดซาวด์หลอนให้ชาวกัมพูชาฟังในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งชาวกัมพูชาได้มีการร้องเรียนไปยังยูเอ็น ว่า ทุกคนที่เป็นคนไทย ไม่มีใครชอบที่มีคนรุกรานอธิปไตยของเรา แต่เราจะไปตำหนิเขา เขาก็แสดงออกในสิ่งที่คิดว่าทำแล้วทำให้คนทั่วไปรู้ว่านี่คือดินแดนประเทศไทย ตนจะพยายามทำให้เป็นสากลมากที่สุด ซึ่งนายกัน จองพลัง เวลาที่เขาช่วยเหลือประชาชนก็ต้องยอมใจเขา ตอนที่ตนเป็นฝ่ายค้านแล้วมีเหตุต้องอพยพชาวบ้าน 3-4 จังหวัด ตนไปดูแลประชาชนก็เจอแต่รถกัน จอมพลัง จนตกใจว่าทำไมคนๆ เดียวถึงสามารถระดมความช่วยเหลือได้มากกว่ารัฐ และวันนี้เมื่อเราเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าไปแข่งกับ "กัน จอมพลัง" แต่ความช่วยเหลือแรกต้องมาจากรัฐบาลก่อน ส่วนคนดีๆ อย่างกัน จอมพลัง ก็มาเสริม ซึ่งประชาชนได้ประโยชน์ รัฐบาลต้องไม่ผลักภาระนี้ให้ประชาชนดูแลกันเอง รัฐบาลต้องดูแลเป็นพื้นฐาน ส่วนที่นายวีระ สมความคิด ออกมาโต้นายกฯ ว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่โกงชาตินั้น นายอนุทิน กล่าวว่า บอกอนุทิน ไม่โกงชาติเขาพูดถูก ซึ่งถ้าเขาไม่โกงชาติก็ดีแล้ว เพราะตนก็ไม่โกงชาติ ตนก็รักชาติ ส่วนกระแสเรียกร้องให้นายกฯ ลงพื้นที่บ้านหนองจาน นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า ไปแน่นอน ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น see you soon เพราะถ้าเราไป ก็จะต้องไม่เป็นอุปสรรคการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราต้องไปเพื่อสนับสนุนการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย เราอยู่ข้างหลังเราสนับสนุนได้ แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องไป ไม่ต้องห่วง ตนไปอยู่แล้ว สำหรับกรณีตำแหน่งประธาน JBC ยังเป็นคนเดิมหรือไม่ เพราะนายกฯ บอกว่ามีคนในใจแล้ว นายอนุทิน กล่าวว่ายังเป็นนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย ขออย่าถามว่าเปลี่ยนม้ากลางศึกหรือไม่ แต่ขอเอาคนทำงานได้มีความสามารถ * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * อนุทิน ชาญวีรกูล * กัน จอมพลัง * บ้านหนองจาน * สระแก้ว * โคกสูง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it